แบ่งงบ Shopee, Lazada และ TikTok Shop ควรลงงบโฆษณาแบบไหน งบโฆษณาเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่หลายคนถามมามากว่าควรลงงบแบบไหนดี ลงแบบนี้ดีแค่ไหน ลงกับสินค้าอะไรบ้าง จากที่ทาง Digital Break Time ได้ให้คำปรึกษาลูกค้า ที่ขายสินค้าออนไลน์ในแพลตฟอร์มชื่อดังหลายเจ้า และได้ลงมือทำจริง ก็เลยสามารถแบ่งวิธีการจัดงบโฆษณาออกมาแบบใหญ่ ๆ ได้หลายแบบ
ซึ่งในคอนเทนต์นี้สามารถนำไปปรับใช้ได้กับการรันโฆษณาที่เป็น eCommerce Platform อย่าง Shopee Ads, Lazada Ads และ TikTok Ads ได้ตามจุดประสงค์ที่เราต้องการ ทำให้เราวางแผนการใช้เงินได้เหมาะสมกับธุรกิจของเรา
แบ่งงบ Shopee, Lazada และ TikTok Shop แบบไหนได้บ้าง?
- จัดงบตามยอดขายหรือตามความนิยมในตัวสินค้านั้น ๆ
- แบ่งงบ Shopee, Lazada และ TikTok ตาม ROAS ที่ได้รับ
- แบ่งงบ Shopee, Lazada และ TikTok ตามสินค้าที่ได้กำไรสูง (Margin เยอะ)
- แบ่งเงินตามความต้องการของตัวเอง ความต้องการในการอยากขาย
- แบ่งงบตามสินค้าที่มีสต๊อกคงเหลือสูง
- แบ่งงบโฆษณาเน้นสินค้าตามแบรนด์ หรือตามประเภทของสินค้า
- สรุปการ แบ่งงบ Shopee, Lazada และ TikTok Shop ควรลงงบโฆษณาแบบไหน
จัดงบตามยอดขายหรือตามความนิยมในตัวสินค้านั้น ๆ

วิธีนี้เรียกได้ว่าเป็นวิธีแรกที่เป็นพื้นฐานแต่ให้ผลลัพธ์ที่ดีมาก เพราะสินค้าที่ขายดี มีความนิยมสูง ยอดขายเยอะ ก็มักจะมีรีวิวที่ดีอยู่แล้ว ยอดขายก็มาก เลยการจัดสรรงบมาที่สินค้าเหล่านี้ก็จะเห็นผลที่เด่นชัด ทำให้ขายดียิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่า แต่บอกไว้ก่อนว่าแต่ละแพลตฟอร์มอาจจะมีสินค้าที่ขายดีหรือยอดขายเยอะที่ไม่เหมือนกันก็ได้ ถึงแม้ว่าเราจะลงสินค้าเหมือนกันกันก็ตาม ดังนั้นวิธรที่ง่ายที่สุด ให้เข้าไปที่ Insight ของ Seller Center แต่ละเจ้าเลย ไม่ว่าจะเป็น Shopee, Lazada และ TikTok ลิสต์รายการสินค้าที่นิยมและขายดีออกมา แล้วก็ลองทำโฆษณาด้วยงบที่เราจัดสรรไว้ให้
แบ่งงบ Shopee, Lazada และ TikTok ตาม ROAS ที่ได้รับ
ROAS มีชื่อเต็มมาจาก Return on ad spending สูตรก็จะมาจาก ROAS=(ยอดขาย/ค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณา) ซึ่งสินค้าที่จะมียอด ROAS สูงได้ ก็มักจะเป็นสินค้าที่มีราคาสูงประมาณหนึ่ง เป็นสินค้าที่ขายได้อย่างสม่ำเสมอ น้อยบ้างมากบ้างตามแต่ช่วงเวลา แต่เมื่อลงโฆษณาไปแล้วเรียกได้ว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป ดังนั้นการที่เราแบ่งงบจำนวนมากขึ้นไปยังสินค้าที่ได้ ROAS ดี ก็จะทำให้เรามีความคุ้มค่าในการทำโฆษณาสูงขึ้นด้วย
แต่วิธีนี้บอกได้เลยว่าไม่ใช่ว่าเราจะรู้ ROAS ได้โดยง่าย ซึ่งจะรู้ได้นั้นก็ต้องทำโฆษณามาก่อน ไม่ว่าจะเป็นบน Shopee Ads, Lazada Ads และ TikTok Ads ก็จำเป็นต้องเคยทำโฆษณาสินค้าเหล่านี้มาก่อน แล้วค่อยมาคัดเลือกและแยกว่าสินค้าไหน ROAS ดีหรือไม่ดีอย่างไร ดังนั้นการมีประสบการณ์ทำโฆษณามาก่อนก็จะช่วยได้มาก
แบ่งงบ Shopee, Lazada และ TikTok ตามสินค้าที่ได้กำไรสูง (Margin เยอะ)

อันนี้ก็เรียกได้ว่าตรงตัวเลย แค่นำสินค้าที่มีกำไรสูง มาทำโฆษณาให้มากขึ้น ลงงบประมาณสินค้าที่มีกำไรสูงทำให้การโฆษณาเกิดความคุ้มค่า ซึ่งแตกต่างสินค้าที่ได้ ROAS สูง เพราะสินค้าที่ทำ ROAS ได้สูงก็ไม่ใช่ทุกสินค้าที่จะมีกำไรดี (แน่นอนว่าสินค้าที่กำไรสูง อาจจะได้ ROAS น้อยกว่าก็เป็นไร แต่เมื่อคิดความคุ้มค่าแล้วถึง ROAS จะน้อยแต่ก็ยังกำไรอยู่)
แต่ความยากของการแบ่งงบของสินค้าที่มีกำไรสูง หรือ Margin เยอะ เรียกว่าเป็นไปได้ยากมากที่จะรู้ข้อมูลนี้ เพราะส่วนมากทีมการตลาดก็จะรู้แค่แผนโปรโมชันต่าง ๆ อย่างดีก็รู้ราคาที่สามารถทำโปรโมชันได้ น้อยมาก ๆ ที่จะรู้ถึงขนาดว่าสินค้าไหนได้กำไรสูง ถ้าเป็นทีมการตลาดจากเอเจนซีหรือฟรีแลนซ์ก็เรียกได้ว่าไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย คนที่จะรู้ก็จะเป็นเจ้าของกิจการ ที่รู้กระบวนการผลิตสินค้าทั้งหมด การตั้งราคาขาย หรือถ้าเป็นธุรกิจที่ซื้อมาขายไปก็จะเป็นทีมจัดซื้อ (แต่บอกไว้ก่อนนะว่าทาง Digital Break Time ถ้าได้ทำ Digital Marketing ด้วยกันจริง ๆ ก็จะถามเป็นเรื่องปกติ ขึ้นอยู่กับว่าจะให้ข้อมูลหรือไม่ก็ได้ เพราะเอาข้อมูลมาใช้กับการทำแคมเปญโฆษณาสินค้า เพื่อเน้นขายสินค้าที่มีกำไรสูงให้มากขึ้น)
แบ่งเงินตามความต้องการของตัวเอง ความต้องการในการอยากขาย
เห็นหัวข้อนี้อย่าได้แปลกใจ เพราะเป็นเรื่องปกติมาก ๆ ในบางสินค้าเราก็อยากจะขายแบบไม่ได้มีเหตุผลรองรับมากนัก หรือจะมีเหตุผลอย่างอื่นซ่อนอยู่เล็ก ๆเช่นสินค้านี้เป็นสินค้าใหม่ อยากผลักดัน สินค้านี้มีอายุจำกัด เลยต้องรีบขาย ฯลฯ ไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกประการใด ซึ่งการแบ่งเงินในสัดส่วนสินค้าที่อยากจะขายก็ให้ลำดับตามความสำคัญ ถ้าอยากลองตลาด ก็อาจจะใช้งบมากหน่อย หรือถ้าเป็นสินค้าที่อยากขายโดยเหตุผลน้อยหน่อย ก็อาจใช้งบที่ลดหลั่นลงมาได้เช่นกัน
แบ่งงบตามสินค้าที่มีสต๊อกคงเหลือสูง

ผลิตมาเยอะ สต๊อกเหลือเยอะ ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งในการแบ่งงบได้เช่นกัน เพราะการที่มีสต๊อกสินค้าเหลือเยอะมาก ก็ไม่ใช่จะเป็นผลดี บางสินค้าก็มีอายุจำกัด ก็ต้องรีบระบายสินค้าออกไปให้ได้รวดเร็ว นอกเหนือจากการจัดโปรโมชันเพื่อให้สต๊อกออกอย่างรวดเร็วแล้ว ก็ให้งบประมาณสูง ๆ กับสินค้าที่มีสต๊อกเยอะ ก็จะช่วยได้เหมือนกัน
แบ่งงบโฆษณาเน้นสินค้าตามแบรนด์ หรือตามประเภทของสินค้า
ร้านค้าไหนที่มีหลายแบรนด์สินค้าในร้านเดียวกัน เราก็สามารถแบ่งงบตามแบรนด์ได้ โดยพิจารณาจากว่าแบรนด์นั้นมีความนิยมมากน้อยแค่ไหน เราก็จะจัดสรรงบให้มากกว่าแบรนด์อื่น ก็ทำได้ ยกตัวเองเช่นเราขายสินค้าอย่างเคสมือถือ แบรนด์ A, B, C เราอาจพิจารณาจาก ให้งบแบรนด์สินค้า A ที่ 50% แบรนด์ B 30% และแบรนด์ C 20%
ส่วนการแบ่งสัดส่วนตามประเภทของสินค้า (Categories) ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน เราก็ต้องมาดูก่อนว่าสินค้าของเราสามารถแบ่งออกมาเป็นประเภทสินค้าได้กี่ประเภท ยอดขายสินค้ามากน้อยเท่าไรของ เช่นเรามีประเภทของสินค้าอย่าง
จะเห็นได้ว่าแบ่งงบโฆษณาเน้นสินค้าตามแบรนด์ หรือตามประเภทของสินค้า ก็เป็นการแบ่งแยกย่อยไปอีกขั้นหนึ่งของการแบ่งงบแบบตามความนิยม ตามสัดส่วนกำไร ตามยอดขาย ตามสต๊อก และตาม ROAS ได้ เพียงแค่มีแบรนด์หรือประเภทสินค้าครอบเอาไว้อีกชั้นหนึ่งเท่านั้นเอง
สรุปการ แบ่งงบ Shopee, Lazada และ TikTok Shop ควรลงงบโฆษณาแบบไหน
จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรตายตัว การแบ่งงบประมาณสำหรับทำโฆษณามีความยืดหยุ่นค่อนข้างสูง สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามเวลา สามารถจัดสรรได้ตามความต้องการ ซึ่งที่ทาง Digital Break Time ได้นำมาปรับใช้ตามที่ลิสต์มาเช่นกัน แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย ไม่ว่าจะเป็น Lazada Ads, Shopee Ads, TikTok Ads (TikTok Shop) การจัดสรรงบประมาณโฆษณาที่ดี จะช่วยตอบจุดประสงค์ของการทำโฆษณาได้ เพื่อให้ได้ Performance Marketing ที่ดีขึ้น ตอบโจทย์มากขึ้นนั่นเอง โดยสามารถนำไปปรับใช้กันได้
ติดตามเรื่องราว Digital Marketing จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, X, Line Official Account, Instagram, Spotify, YouTube, Apple Podcast
ธนาคาร เลิศสุดวิชัย x Digital Break Time