Google Tag Manager คืออะไร คือเครื่องมือสำหรับการรวบรวม Tracking Code ต่าง ๆ ให้อยู่ในที่เดียวกัน สามารถใช้ได้กับเว็บไซต์ แอพพลิเคชันทางฝั่งแอนดรอยด์ iOS หรือแม้กระทั่ง AMP ก็ตาม เพื่อให้สะดวกต่อการติด Tracking Code เพื่อวัดผลจากแหล่งอื่น ๆ เช่น Facebook, Twitter, Google Analytics, Google Ads ฯลฯ
Google Tag Manager คืออะไร มีฟังก์ชันอะไรบ้าง
อย่างที่กล่าวไปเบื้องต้น Google Tag Manager มีหน้าที่รวบรวม Tracking Code ทั้งหมด ไว้ในที่เดียว และเราเพียงแค่นำ Tracking Code ของ Google Tag Manager ไปติดไว้ในเว็บไซต์ (หรือในแอพพลิเคชัน, AMP) เพื่อให้ง่ายต่อการแก้ไข หรือเปลี่ยนแปลง Tracking Code ในอนาคต เปรียบเสมือนตัวกลางที่มารองรับ Tracking Code ทุกอย่างก่อนที่เราจะติดในเว็บไซต์ โดยมีฟังก์ชันต่าง ๆ ที่ง่ายต่อการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น
- Tags ไม่ว่าจะติดแบบไหนก็ง่ายไปหมดทั้งแบบ Manual หรือเลือกจาก Tags ยอดนิยม
การติด Tracking Code เดี๋ยวนี้ง่ายขึ้นมาก เพียงแค่เข้าไปใน เช่น Facebook Pixel เข้าไปในส่วนของ Event Manager แล้วเลือก Pixel ที่เราต้องการ กดให้ติดตั้งผ่าน Google Tag Manager แล้วก็กด Next ให้เลือกแอคเคานท์ Google Tag Manager ที่เราต้องการ แล้วก็เลือก Container กดยอมรับ เพียงแค่ไม่กี่ขั้นตอน Tracking Code ของ Facebook Pixel ก็ติดตั้งลงใน Google Tag Manager เรียบร้อยแล้ว กับบริการอื่น ๆ ก็แทบไม่ต่างกัน หรือจะเลือกติดแบบ Manual ก็ย่อมได้ แค่เลือกตรง Custom Html แค่นี้เอง (แต่สำหรับอันหลัง ผู้ใช้งานควรมีความรู้เรื่อง Coding บ้างเล็กน้อย) - Triggers หรือสิ่งที่เราต้องการให้ Tracking Code นั้นแสดงผลเป็นอย่างไร
ส่วนของ Triggers (ไม่แน่ใจว่าจะให้แปลเป็นภาษาไทยอย่างไรดี) เหมือนเป็นสิ่งเร้าที่จะตอบสนองโค้ดนั้น ๆ เช่นเลือก Triggers ให้เป็น Page View และยังสามารถเลือกได้ว่าจะติดกี่หน้า หรือถ้าต้องการเป็นคลิก ให้เลือก Triggers เป็นคลิก หรือเป็นลิงก์ก็ได้ ซึ่งตัว Triggers มีให้เลือกเป็นจำนวนมาก ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้แบบไหน
ที่เหลือจะเป็นในส่วนของ Variables, Folder, Template ซึ่งมีหน้าที่ที่แตกต่างกันและลงลึกไปอีก ยังไม่หมดแค่นั้น ข้อดีอีกอย่างของการใช้ Google Tag Manager ยังมีบันทึกทุกครั้งว่ามีการเพิ่ม Tracking Code หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไข ว่าเป็นเวอร์ชันไหน เปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง เราสามารถบันทึกได้ทันที และยังบอกด้วยว่าใครเป็นคนทำการแก้ไขในครั้งนี้เพราะในชีวิตจริงแล้ว เราต้องทำงานร่วมกับผู้อื่น ย่อมมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงโค้ดอยู่ตลอดเวลานั่นเอง นับว่าเป็นประโยชน์มาก ๆ ที่หลายคนอาจยังมองไม่เห็น
ถ้าไม่มี Google Tag Manager ก็ติดเองได้เหมือนกัน แต่ยุ่งยากกว่า

ขวามือ : ตัวอย่างแผนผังของการติด Tracking Code เมื่อไม่มี Google Tag Manager
อาจมีคำถามว่าแล้วถ้าไม่ใช้ Google Tag Manager สามารถจัดการ Tracking Code เองในเว็บไซต์เลยได้หรือไม่ (ขออธิบายถึงการติดในเว็บไซต์ เพราะน่าจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใกล้ตัวที่สุด) คำตอบคือเราสามารถติด Tracking Code ต่าง ๆ ได้เอง เพียงแค่มีความรู้ในเรื่องของการ Coding พื้นฐาน ก็สามารถทำได้เอง เพราะเป็นเพียงแค่นำ Code ไปติดที่ที่เราต้องการ
แต่อย่าลืมไปว่าเมื่อเรานำ Tracking Code ติดที่เว็บไซต์โดยตรง เราก็จะลืมไปว่าเราเคยติด Tracking Code อะไรไปบ้าง เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า เราก็แทบจะลืมหมดแล้วว่าเราติด Tracking Code นี้ไปแล้วหรือยัง อาจทำให้เกิดการติดโค้ดในเว็บไซต์มากจนเกินความจำเป็นและเกิดการสับสนได้
สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มอาชีพในสายงานของ Digital Marketing ที่ต้องการ ใช้ Tracking Code ต่าง ๆ เพื่อติดลงในเว็บไซต์ อาจจะยังไม่ได้มีทักษะในการ Coding มากนัก หรือไม่ได้รับสิทธิ์ในการดูหลังบ้านของเว็บไซต์ หรือแอพพลิเคชัน การที่จะติด Tracking Code สักโค้ดหนึ่ง ย่อมต้องขอความร่วมมือจาก Web Developer หรือโปรแกรมเมอร์ ถ้าเพียงครั้งสองครั้งก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้านาน ๆ ไป เราก็จำเป็นที่จะต้องติด Tracking Code ที่เพิ่มมากขึ้น หรือแก้ไข ซึ่งเราจะมัวไปรบกวนมากก็ไม่น่าใช่เรื่องที่ดี ซึ่ง Google Tag Manager ช่วยกลบจุดด้อยตรงนี้ได้เป็นอย่างดี
พอได้อ่านบทความนี้แล้ว คงจะเห็นประโยชน์ของ Google Tag Manager มากขึ้น ใครที่ยังไม่เคยลองใช้ แนะนำให้ลองใช้นะครับ เพราะสะดวกมาก ๆ จะแอบบอกให้นิดนึงว่า เว็บไซต์ของทาง Digital Break Time เองก็ใช้ Google Tag Manager อยู่เช่นกัน
ใครที่มีคำถามเกี่ยวกับ Digital Marketing หรือเกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ สามารถ Inbox สอบถามได้ที่ Facebook ของ Digital Break Time คำถามเด็ด ๆ ที่คิดว่ามีประโยชน์จะนำมาเขียนบอกเล่าให้กับคนอื่น ๆ ได้รู้ด้วย
ติดตามข่าวสาร บทความดี ๆ จาก Digital Break
Time ได้ที่
Facebook, Twitter, Line Official Account, Instagram
ธนาคาร เลิศสุดวิชัย x Digital Break Time