ทำเว็บไซต์ E-Commerce นับว่าเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร ถ้าหากไม่ใช่บริษัทขนาดใหญ่ มักจะไม่มีทีมที่คอยทำเว็บไซต์ของตัวเอง ดังนั้นทางออกของการทำเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ คงจะหนีไม่พ้นเอเจนซีที่รับทำเว็บไซต์โดยตรง ซึ่งก็มีมากมาย แล้วจะมีเกณฑ์การคัดเลือกเอเจนซีอย่างไรดี ถึงจะได้เว็บไซต์ E-Commerce ที่มีประสิทธิภาพ และมีความคุ้มค่ามากที่สุด รวมไปถึงการทำงานอย่างราบรื่นกับเอเจนซี วันนี้ทาง Digital Break Time เลยมานำเสนอกัน
เอเจนซีเหล่านั้น ทำเว็บไซต์ E-Commerce มามากน้อยแค่ไหน พิจารณาจากตัวอย่างงานที่เคยทำ
นับว่าเป็นสิ่งแรกที่ควรพิจารณา คือประสบการณ์การทำเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซนั่นเอง เพราะถ้ามีประสบการณ์มาก อย่างน้อยก็เชื่อใจในระดับหนึ่งได้ว่าเคยทำมาแล้ว มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญในระดับหนึ่ง และให้ดูลึกถึงระบบภายในด้วย ไม่ใช่แค่ดีไซน์ภายนอก หรือแค่เพียงชื่อเสียงของบริษัทที่ทำเท่านั้น อาจจะต้องฟังถึง Pain Point ของลูกค้าว่าเป็นอย่างไร ทำไมถึงได้ออกแบบดีไซน์มาเป็นแบบนี้ ทำไมเจ้านี้ถึงเลือกใช้ระบบหลังบ้านรูปแบบนี้เป็นหลัก จะทำให้เราได้รู้ถึงวิธีการคิดและแก้ปัญหา ของเอเจนซีได้เป็นอย่างดี
ดีไซน์ออกมาสวยงาม และตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากแค่ไหน
การดีไซน์ของ UI (User Interface) นอกเหนือจากความความงามแล้ว ยังต้องคำนึงถึง UX (User Experience) ที่ตอบโจทย์กับผู้ใช้งานด้วยเช่นกัน การดีไซน์ใช่ว่าเพียงการโหลดเทมเพลตมาแล้วทำแบนเนอร์ใหม่สวย ๆ เท่านั้น แต่ยังต้องคำถึงกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์เราว่าเป็นใคร ต้องการเว็บไซต์แบบไหน ที่จะออกมาตอบโจทย์ ใช่ว่าการโหลดเทมเพลตมาแล้วใส่แบนเนอร์เข้าไปก็จบ แต่ต้องคิดให้มากกว่านั้น
ดูระบบหลังบ้านว่าใช้อะไร ตอบโจทย์เรื่องอื่น ๆ หรือไม่
- การแบ่ง Category ของสินค้า และดีเทลของสินค้า
บางเจ้ามีสินค้าค่อนข้างมาก แบ่งได้ออกเป็นหลาย Category ยิ่งมีสินค้ามาก การแบ่ง Category จะยิ่งมีมากขึ้น ดังนั้นเอเจนซีจึงควรแนะนำให้กับเราได้ แต่ถึงแม้ว่า Category จะน้อย แต่ก็ยังมีเรื่องดีเทลของสินค้าอีก เช่นถ้าเป็นเสื้อผ้า ก็ต้องมีขนาดไซซ์ระบุ สี หรือลวดลาย ทำให้เกิดความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ดังนั้นจำเป็นอย่างมากที่ต้องบรีฟให้เข้าใจ - เรื่องระบบสต๊อก ถ้าหากมีหน้าร้าน
ในบางครั้งสำหรับกิจการที่มีหน้าร้าน แน่นอนว่าอาจจะต้องมีระบบสต๊อกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย อาจจะสอบถามเพิ่มเติมได้ว่าการเชื่อมต่อกับระบบสต๊อกเป็นไปได้หรือไม่ (อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับระบบสต๊อกด้วย ว่าเป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อได้หรือไม่) หรือถ้าไม่เชื่อมต่อกับสต๊อกหน้าร้าน อาจแยกระบบสต๊อกออนไลน์ออกมาต่างหาก - รองรับกับงาน Digital Marketing แค่ไหน
เว็บไซต์ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำหรับงานด้าน Digital Marketing เว็บไซต์ต้องรองรับงานด้านนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น SEO การเชื่อมต่อกับระบบ Tracking ต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการนับ Conversion และการวัด ROAS ได้ ยังไม่เพียงแค่นั้น ในอนาคตสามารถเชื่อมต่อกับ E-Commerce Platform เจ้าอื่นได้แค่ไหน - ระบบหลังบ้านใช้อะไร Shopify, Magento, WooCommerce
ชื่อเหล่านี้หลายคนอาจเคยได้ยินมาบ้าง ถ้าให้อธิบายเข้าใจอย่างง่ายคือ ชื่อเหล่านี้คือระบบที่คอยทำงานหลังบ้านของเว็บไซต์ที่เป็นอีคอมเมิร์ซ ซึ่งแต่ละเจ้านั้นก็มีจุดเด่นและจุดด้อยที่แตกต่างกันออกไป ถ้าหากไม่มีความรู้ทางด้านนี้เลย อย่างน้อยต้องทำการศึกษาวิธีใช้งานในเบื้องต้นบ้าง (แต่โดยปกติแล้วเมื่อเราทำสัญญากับเอเจนซี เพื่อทำเว็บไซต์แล้ว เค้าก็มักจะสอนเราใช้งานหลังบ้านของระบบเหล่านี้อยู่แล้ว เช่นวิธีการเพิ่มสินค้า เพิ่มบล็อกบทความ)
การติดต่อสื่อสาร การแก้ไขทำได้โดยง่ายหรือไม่ รวมถึงความเข้าใจในธุรกิจของเรา
แน่นอนว่าถ้าหากต้องทำเว็บไซต์ E-Commerce กับเอเจนซี จำเป็นต้องมีการแก้ไข และการติดต่อสื่อสารอย่างแน่นอน ต้องดูว่าเอเจนซีมีเครื่องมือตรงนี้พร้อมหรือไม่ ทำให้ช่วยลดระยะเวลา และการเข้าใจผิดเป็นไปได้อย่างมาก รวมไปถึงการเข้าใจในธุรกิจของเรา ในเบื้องต้นด้วยเช่นกัน
การทำเว็บไซต์ E-Commerce นับว่าเป็นการลงทุนในระยะยาว ดังนั้นแล้วการคัดเลือกเอเจนซีที่จะมารับบทบาทช่วยทางแบรนด์พัฒนาเว็บไซต์ ไม่เพียงแค่การคัดเลือกเอเจนซีเท่านั้น แต่ทางแบรนด์ก็ต้องมีความพร้อมในการทำ เช่นการเตรียมข้อมูลสินค้าต่าง ๆ กลุ่มเป้าหมายของคนที่จะใช้เว็บไซต์ หรือข้อมูลด้านอื่น ๆ เพื่อให้เอเจนซีพัฒนาเว็บไซต์ E-Commerce ได้อย่างตรงจุด และมีผลลัพธ์ตามความต้องการ
ใครที่มีคำถามเกี่ยวกับ Digital Marketing หรือเกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ สามารถ Inbox สอบถามได้ที่ Facebook ของ Digital Break Time คำถามเด็ด ๆ ที่คิดว่ามีประโยชน์จะนำมาเขียนบอกเล่าให้กับคนอื่น ๆ ได้รู้ด้วย
ติดตามข่าวสาร บทความดี ๆ จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, Twitter, Line Official Account, Instagram
ธนาคาร เลิศสุดวิชัย x Digital Break Time