เช็กลิสต์ บทความ SEO เขียนบทความดี ไม่ได้หมายความว่าจะติดอันดับใน Google เสมอไป หลายคนเขียนเนื้อหาคุณภาพสูง แต่กลับไม่มีใครเข้ามาอ่าน อาจเพราะไม่ได้ปรับแต่งตามหลัก SEO ก็เป็นได้! วันนี้ผมมาพูดถึงเฉพาะเช็กลิสต์บทความ SEO ในแง่ของตัวคอนเทนต์หรือบทความ เพื่อเป็นแนวทางให้กับคนที่อาจจะยังไม่แน่ใจว่าทำถูกต้องตามหลักแล้วหรือยัง พร้อมแล้วก็ไปเช็กทีละข้อพร้อมๆ กันได้เลย
เช็กลิสต์ บทความ SEO วิธีตรวจสอบและปรับแต่งคอนเทนต์ให้ติดอันดับ
มี เช็กลิสต์ บทความ SEO ไว้ ดีอย่างไร?

แม้ว่าคนส่วนใหญ่ที่ทำบทความ SEO มานาน จะค่อนข้างคุ้นเคยกับการปรับแต่งแล้ว แต่การมีเช็กลิสต์ส่วนตัวไว้ก็ช่วยสร้างความมั่นใจได้มากขึ้นด้วย ในกรณีที่อาจจะหลงลืมการปรับแต่งในบางจุดไป ยิ่งถ้าทำงานเป็นทีมแล้ว การมีเช็กลิสต์ไว้ก็ช่วยให้มาตรฐานงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และนอกจากนี้ยังมีความสำคัญในด้านอื่นๆ อีก เช่น
สำคัญกับการทำ SEO On-Page
การทำ SEO On-Page เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของได้ดีขึ้น เมื่อ Search Engine สามารถเข้าใจโครงสร้างและเนื้อหาของบทความ ก็จะสามารถจัดอันดับเว็บไซต์ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ซึ่งการทำ SEO On-Page ที่ว่านี้ก็รวมถึงส่วนของบทความหรือคอนเทนต์ด้วย
ช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบน Google
Google ใช้อัลกอริธึมที่ซับซ้อนในการจัดอันดับเว็บไซต์ โดยพิจารณาจากปัจจัยหลายตัว การมีเช็กลิสต์ที่ครอบคลุมปัจจัยสำคัญเหล่านี้จะช่วยเพิ่มคะแนนของบทความในสายตาของ Google ทำให้มีโอกาสติดอันดับในหน้าแรกมากขึ้น
เช็กลิสต์หลักที่ควรตรวจสอบก่อนปล่อยบทความ
โครงสร้างและรูปแบบบทความ
- มี Title ที่ชัดเจน
Title หรือ Meta Title เป็นสิ่งแรกที่ผู้ใช้เห็นใน Search Results ดังนั้นจึงต้องเขียนให้น่าสนใจและมีคีย์เวิร์ดหลักอยู่ด้วย ความยาวที่เหมาะสมคือ 50-60 ตัวอักษร เพื่อให้แสดงผลได้ครบถ้วนใน Google - Meta Description ที่กระตุ้นให้คลิก
Meta Description เป็นข้อความสั้นๆ ที่อธิบายเนื้อหาของบทความ ควรมีความยาว 150-160 ตัวอักษร และต้องเขียนให้น่าสนใจจนผู้ใช้อยากคลิกเข้ามาอ่าน อย่าลืมใส่คีย์เวิร์ดหลักและ Call-to-Action ที่ชัดเจน - ใช้ H1, H2, H3 แบ่งหัวข้ออย่างเป็นระบบ
การจัดโครงสร้างหัวข้อที่ดีจะช่วยให้ Google เข้าใจลำดับความสำคัญของเนื้อหา H1 ควรมีเพียงหนึ่งอันต่อหน้า H2 ใช้สำหรับหัวข้อหลัก และ H3 ใช้สำหรับหัวข้อย่อย การจัดลำดับแบบนี้จะทำให้เนื้อหาอ่านง่ายและเป็นระเบียบ - ความยาวบทความเหมาะสม (อย่างน้อย 800–1,500 คำ)
บทความที่มีความยาวเพียงพอจะสามารถครอบคลุมหัวข้อได้อย่างลึกซึ้ง Google มักจะชื่นชอบเนื้อหาที่ให้ข้อมูลครบถ้วนและตอบโจทย์ผู้ใช้ได้ดี แต่อย่างไรก็ตาม คุณภาพของเนื้อหาสำคัญกว่าความยาว
การใช้คีย์เวิร์ด

- ใส่คีย์เวิร์ดหลักใน Title, H1, และย่อหน้าแรก
คีย์เวิร์ดหลักควรปรากฏในตำแหน่งสำคัญเหล่านี้ เพื่อให้ Google รู้ว่าบทความของคุณเกี่ยวกับเรื่องอะไร และการวางคีย์เวิร์ดในย่อหน้าแรกจะช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาได้ทันที - กระจายคีย์เวิร์ดรองตามเนื้อหา
นอกจากคีย์เวิร์ดหลักแล้ว ควรใช้คีย์เวิร์ดรองหรือคำที่เกี่ยวข้องกระจายไปทั่วเนื้อหา ช่วยให้บทความของมีโอกาสติดอันดับในคำค้นหาที่หลากหลายมากขึ้น - หลีกเลี่ยงการยัดคีย์เวิร์ด (Keyword Stuffing)
การใส่คีย์เวิร์ดมากเกินไปจะทำให้เนื้อหาอ่านยาก และ Google อาจมองว่าบทความนี้ไม่มีคุณภาพ เป็นการสแปมคีย์เวิร์ดเพื่อหวังติดอันดับได้ - ใช้ LSI Keyword (Latent Semantic Indexing)
LSI Keywords คือคำที่มีความเกี่ยวข้องทางความหมายกับคีย์เวิร์ดหลัก แต่ไม่ใช่คำที่มีความหมายเดียวกัน การใช้คำเหล่านี้จะช่วยให้ Google เข้าใจบริบทของเนื้อหาได้ดีขึ้น และเพิ่มโอกาสในการติดอันดับ ตัวอย่างเช่น ถ้าคีย์เวิร์ดหลักคือ ศูนย์ซ่อมรถ LSI Keyword ก็จะอย่างเช่น ถ่ายน้ำมันเครื่อง, เปลี่ยนสายพาน, เติมน้ำยาแอร์ เป็นต้น
การเขียนเนื้อหา
- เนื้อหาตอบโจทย์ Search Intent ของผู้อ่าน
ก่อนเขียน ควรเข้าใจว่าผู้ค้นหาต้องการอะไรจากคีย์เวิร์ดนั้น พวกเขาต้องการข้อมูล การซื้อของ หรือการหาเว็บไซต์เฉพาะ การเขียนเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการจะช่วยเพิ่มโอกาสการติดอันดับ - ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและเป็นธรรมชาติ
เขียนเนื้อหาให้อ่านง่าย หลีกเลี่ยงคำศัพท์ที่ซับซ้อนเกินไป ใช้ประโยคสั้นๆ และแบ่งย่อหน้าให้เหมาะสม จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาได้ดีและอยู่ในหน้าเว็บนานขึ้น - มี Bullet point หรือ List เพื่อให้อ่านง่าย
การจัดเนื้อหาในรูปแบบรายการจะช่วยให้คนอ่านสแกนข้อมูลได้เร็วขึ้น และ Google ก็ชอบเนื้อหาที่จัดระเบียบดี - มี Internal link และ External link
Internal link จะช่วยให้คนอ่านอยู่ในเว็บไซต์ของคุณนานขึ้น และช่วย Google เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ ส่วน External link ไปยังเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือจะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหา - มี Call-to-Action (CTA)
เพื่อบอกคนอ่านว่าต้องการให้พวกเขาทำอะไรต่อ อาจเป็นการสมัครสมาชิก การติดต่อ หรือการอ่านต่อ
เครื่องมือช่วยเช็กคุณภาพบทความ SEO
- Google Search Console เป็นเครื่องมือฟรีที่ช่วยตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์ใน Google ว่าบทความไหนได้รับการคลิกมากที่สุด คีย์เวิร์ดใดที่ทำให้ผู้คนเข้าเว็บไซต์ และจุดที่ต้องปรับปรุง
- Google Analytics จะแสดงพฤติกรรมของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ เช่น เวลาที่อยู่ในหน้า Bounce Rate, และเส้นทางการเข้าชมเว็บไซต์ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เข้าใจว่าเนื้อหาใดที่ผู้อ่านชื่นชอบ
- Yoast SEO เป็น Plugin สำหรับ WordPress ที่จะช่วยตรวจสอบ SEO ของบทความ ระบบจะให้คำแนะนำในการปรับปรุง เช่น การกระจายคีย์เวิร์ด การเขียน Meta Description และการใส่ Internal Link
สรุป เช็กลิสต์บทความ SEO ที่ใช้ได้จริง
การทำบทความ SEO ไม่ใช่แค่การเขียนเนื้อหาที่ดี แต่คือการใส่ใจทุกรายละเอียดตั้งแต่โครงสร้าง คีย์เวิร์ด จนถึงประสบการณ์ของผู้อ่าน การมีเช็กลิสต์ไว้ก็เลยเป็นเหมือน “คู่มือประจำตัว” ที่ช่วยให้ทุกบทความของคุณมีมาตรฐาน และเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบน Google ได้จริง
ติดตามเรื่องราว Digital Marketing จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, X, Line Official Account, Instagram, Spotify, YouTube, Apple Podcast