คอนเทนต์ SEO นักเขียนมือใหม่หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินมาแล้วไม่มากก็น้อย แต่ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร ต่างกับคอนเทนต์ทั่ว ๆ ไปอย่างไร และที่สำคัญถ้าอยากจะเขียนคอนเทนต์หรือบทความ SEO จะต้องโฟกัสอะไรบ้าง ลองมาหาคำตอบกันในบทความนี้เลยค่ะ
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจจุดประสงค์ของคอนเทนต์ทั้ง 2 อย่างนี้ก่อนว่า เราจะเขียนมันขึ้นมาเพื่ออะไร? คอนเทนต์ทั่วไป เขียนขึ้นด้วยจุดประสงค์อยากให้ความรู้ อยากแบ่งปันประสบการณ์ต่าง ๆ หรือเป็นรีวิวการใช้งานจริง ทั้งหมดทั้งมวลคือแค่อยากมาแชร์อะไรบางอย่าง ไม่ได้เน้นเรื่องอันดับที่ปรากฏบนหน้าผลการค้นหาบน Search Engine อย่าง Google ส่วนคอนเทนต์ SEO จะเขียนขึ้นเพื่อจุดประสงค์ให้คนมาเห็นคอนเทนต์ของเราเยอะ ๆ โดยทำให้คอนเทนต์อยู่อันดับต้น ๆ ของหน้าผลการค้นหา ดังนั้นคอนเทนต์ประเภทนี้จึงต้องมีทริคในการเขียนกันสักหน่อยค่ะ
สรุปสั้น ๆ คอนเทนต์ SEO คือ?
คือการเขียนคอนเทนต์ที่มีการโฟกัส Keyword พร้อมทั้งปรับปรุงเนื้อหาในส่วนต่าง ๆ ของบทความให้มีคุณภาพตรงตามเกณฑ์ของ Search Engine หรือก็คือ Google เพื่อทำให้บทความนั้นติดอันดับต้น ๆ บนหน้าผลการค้นหา และเมื่อมีคนเสิร์ช Keyword ดังกล่าว พวกเขาก็จะได้เห็นบทความของเราเป็นอันดับแรก ๆ และสามารถสร้าง Traffic ให้เว็บไซต์จนอาจตามมาซึ่งการซื้อสินค้า ใช้บริการ กดติดตาม กดให้ข้อมูลที่สำคัญบางอย่างนั่นเอง อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คุณผู้อ่านคงเข้าใจถึงความแตกต่างของคอนเทนต์ทั่วไปกับคอนเทนต์ SEO แล้วใช่ไหมคะ งั้นเรามาดูกันต่อว่าถ้าจะเขียนบทความ SEO เราจำเป็นต้องรู้และปรับแต่งอะไรตรงไหนบ้าง
6 ทริค เขียนคอนเทนต์ SEO ให้ติดอันดับต้น ๆ ของ Google
1. ทำ Keyword Research เพื่อหา Keyword ที่ใช่

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าบทความ SEO นั้น จะต้องมีการหา Keyword หรือคำหลัก เพื่อนำไปใช้เขียนบทความ ซึ่งจะต้องเป็นคำที่กลุ่มเป้าหมายมักใช้ในการค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณ เช่น สมมติว่าคุณเป็นเจ้าของแบรนด์น้ำหอม และกลุ่มเป้าหมายของคุณมักเสิร์ชคำว่า “น้ำหอม แบรนด์ไหนดี” คุณก็ต้องนำ Keyword “น้ำหอม แบรนด์ไหนดี” มาเขียนบทความนั่นเอง และเครื่องมือที่จะใช้ค้นหาว่า Keyword อะไร ที่ถูกนำมาเสิร์ชหาข้อมูลเยอะ ๆ เราแนะนำเครื่องมือของ Google ที่ชื่อว่า Keyword Planner ซึ่งเป็นเครื่องมือฟรี ใครก็สามารถเข้าไปใช้งานได้
2. วาง Keyword ถูกตำแหน่ง ยิ่งส่งผลดีต่อ คอนเทนต์ SEO
เมื่อได้ Keyword ที่เหมาะสม พร้อมทั้งได้ไอเดียที่จะเขียนบทความสำหรับ Keyword นี้แล้ว อันดับต่อไปเราก็ต้องใส่ Keyword ในตำแหน่งที่เหมาะสม ซึ่งจะต้องมีจำนวนประมาณ 1.5-2% จากเนื้อหาทั้งหมด และกระจายอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของบทความ ดังนี้
- Title
ชื่อบทความจะปรากฏเรียงรายอยู่ในหน้าผลการค้นหา และนี่เป็นจุดแรกที่เราควรใส่ Keyword เข้าไปเพื่อให้ Google รู้ว่าเรากำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ ซึ่งต้องระมัดระวังในเรื่องความเป็นธรรมชาติ อ่านแล้วต้องกลมกลืน ไม่ขัดหูขัดตา นอกจากนี้เรื่องความยาวของชื่อบทความก็ไม่ควรยาวเกินไป เพื่อให้อ่านในหน้าผลการค้นหาได้ง่าย
- Meta Description
จะเป็นข้อความที่ปรากฏอยู่ข้างใต้ของ Title ซึ่งมีหน้าที่อธิบายคร่าว ๆ ว่าบทความนี้เขียนถึงเรื่องอะไร ดังนั้นจึงต้องมี Keyword รวมอยู่ด้วย โดยควรมีความยาวไม่เกิน 160 ตัวอักษร
- ช่วงแรกของย่อหน้าเกริ่น
Keyword ควรอยู่ในช่วง 100 คำแรกของย่อหน้าเกริ่น หรือจะใส่เป็นคำแรกเลยก็สามารถทำได้
- Headline (H1)
เป็นหัวข้อหลักที่จะอยู่ในตำแหน่งบนสุดของบทความ เป็นจุดที่เมื่อมีคนคลิกเข้ามาหน้าบทความนั้นจะเห็นเป็นที่แรก H1 จึงเป็นจุดสำคัญที่เราต้องใส่ Keyword เข้าไป และส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นข้อความเดียวกับ Title
- Sub-Headings (H2-H6)
ในหนึ่งบทความอาจมีหัวข้อรองจำนวนมาก อาจจะมี 8 ข้อ 10 ข้อ หรือมากกว่านั้น ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องใส่ Keyword เข้าไปในทุก ๆ หัวข้อ ใส่แค่บางหัวข้อและกระจายให้ทั่วทั้งบทความก็พอ
- Content
ในส่วนของเนื้อหาก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สามารถกระจาย Keyword เข้าไปได้ แต่ส่วนสำคัญคือต้องกระจายให้ทั่วถึง ไม่กระจุกอยู่แค่ส่วนใดส่วนหนึ่ง อีกทั้งต้องไม่น้อยเกินไปเพราะ Google อาจจะมองว่าบทความของเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับ Keyword และไม่มากเกินไป เพราะจะเป็นการสแปมนั่นเองค่ะ
3. ปรับแต่ง URL ให้อ่านง่าย เพิ่มความน่าเชื่อถือ
URL หรือ Slug เปรียบเหมือนที่อยู่ของหน้าบทความนั้น ๆ และมันจะปรากฏเป็นส่วนเล็ก ๆ อยู่ในหน้าผลการค้นหาด้วย URL จึงเป็นอีกจุดหนึ่งที่ต้องใส่ Keyword อีกทั้งต้องตั้งชื่อให้เป็นข้อความที่สามารถอ่านเข้าใจได้ ตั้งให้สั้น กระชับ โดยการตั้งชื่อจะต้องมีเครื่องหมาย “-” ขั้นในแต่ละคำ เช่น 5-steps-write-seo-content หากเราใช้ URL เดิมที่ WordPress เจนมาให้มันจะเป็นตัวเลขและตัวอักษรที่อ่านไม่รู้เรื่อง ซึ่งอาจทำให้เว็บไซต์ของเราดูไม่น่าเชื่อถือ
4. อย่าลืมใส่รูปหน้าปก และ Alt Text

รูปหน้าปก เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้อยู่แล้วในการทำ คอนเทนต์ SEO นอกจากจะช่วยเพิ่มความสวยงามแล้ว ยังช่วยดึงดูดให้คนอยากกดเข้ามาอ่านบทความของเราอีกด้วย นอกจากนี้ หากคุณใส่รูปภาพประกอบในบทความ จำเป็นต้องใส่ Alt Text หรือข้อความบรรยายรูปภาพ เพื่อให้ Google เข้าใจว่าภาพประกอบที่เราใส่เข้าไปในบทความนี้ เป็นภาพเกี่ยวกับอะไร แล้วเกี่ยวข้องกับ Keyword ที่เราโฟกัสอย่างไร ดังนั้นจึงต้องมี Keyword ประกอบอยู่ในคำบรรยายด้วย ทั้งนี้ถ้าเราใส่ภาพหลายภาพ ต้องใส่ Alt Text ทุกภาพ แต่ไม่ต้องใส่ Keyword เข้าไปทุกภาพค่ะ
5. ใส่ Internal link และ External link เข้าไปด้วย
การใส่ Internal link เป็นอีกส่วนสำคัญที่จะช่วยเพิ่มคุณภาพให้กับบทความของคุณ ซึ่งมีผลต่อการทำ SEO โดย Internal link จะเป็นการใส่ลิงก์ที่เชื่อมไปยังหน้าอื่น ๆ ในเว็บไซต์ของเรา ซึ่งทำให้ Google เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาในหน้านั้น ๆ ส่วน External link คือการใส่ลิงก์ที่เชื่อมไปยังเว็บภายนอกของคนอื่น ซึ่งถ้าคุณต้องการอ้างอิงและใส่ลิงก์ไปยังหน้าเว็บภายนอก ควรตรวจดูให้แน่ใจว่าลิงก์เหล่านี้มาจากเว็บที่น่าเชื่อถือ เพราะถ้าความน่าเชื่อถือน้อย เมื่อเราลิงก์ไปยังเว็บของเขา ความน่าเชื่อถือในคอนเทนต์ของเราก็จะลดลงไปด้วย
6. เนื้อหาก็ต้องใช่ ตอบโจทย์การค้นหา แก้ไขปัญหาได้ และมีประโยชน์ด้วย
สุดท้าย เนื้อหาที่เขียนก็ต้องมีคุณภาพด้วย เป็นคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ น่าสนใจ สามารถตอบคำถามให้ผู้ที่เข้ามาอ่านได้ ไม่ใช่เขียนอะไรมาก็ได้แล้วแค่ปรับแต่งส่วนอื่น ๆ เอา อีกทั้งเนื้อหาจะต้องไม่สั้นจนเกินไป และมีความครอบคลุม เช่น มีทั้งความหมาย ประโยชน์ เทคนิค ตัวอย่าง เป็นต้น ยิ่งมีเนื้อหาเยอะ ยิ่งทำให้ Google มีข้อมูลมากเพียงพอที่จะตรวจสอบว่าเนื้อหาของเราเกี่ยวข้องกับ Keyword มากแค่ไหน
สรุป
คอนเทนต์ SEO กับคอนเทนต์ทั่วไป มีความต่างกันในเรื่องของจุดประสงค์และเทคนิคการเขียน คอนเทนต์ทั่วไปเน้นแชร์ประสบการณ์ แชร์เรื่องราว หรือข้อมูลเท่านั้น อีกทั้งไม่ต้องคำนึงถึงเทคนิคในการเขียน การวาง Keyword หรือปรับแต่งเนื้อหาใด ๆ สามารถเขียนอะไรก็ได้ที่ต้องการ ส่วนการทำ SEO จะมุ่งเน้นให้บทความติดอันดับต้น ๆ ของ หน้าผลการค้นหาของ Search Engine ที่คนไทยชอบใช้อย่าง Google โดยต้องใช้เทคนิคต่าง ๆ ในการเขียนและปรับปรุงเนื้อหาเพื่อให้ Google เห็นว่าคอนเทนต์ของเรามีประโยชน์ มีความน่าเชื่อถือ และเกี่ยวข้องกับ Keyword ที่เรากำลังโฟกัส
ติดตามเรื่องราว Digital Marketing จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, X, Line Official Account, Instagram, Spotify, YouTube, Apple Podcast