Influencer เลือกงาน อย่างไรดี ต้องบอกก่อนว่าที่มาของบทความนี้ เป็นเพราะผู้อ่านจากบทความการทำ Rate Card ร้องขอมา เพราะอยากทราบว่า Influencer จะมีเกณฑ์เลือกงานได้แค่ไหน ถ้าจะเก็บเงินควรจะเป็นอย่างไร ทาง Digital Break Time เลยจะมาขยายให้กับ Influencer มือใหม่ให้อ่านกัน
Influencer เลือกงาน จากเรื่องเงิน เป็นไปได้ควรเก็บมัดจำก่อน ขึ้นอยู่กับลูกค้าด้วย
เมื่อมีการจ้างงาน แน่นอนก็ย่อมต้องมีเรื่องงานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ถ้าเป็นไปได้แนะนำเลยว่าให้เราเก็บมัดจำลูกค้าก่อนที่จะเริ่มงานใด ๆ ส่วนเปอร์เซ็นต์ของจำนวนเงินนั้นขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของเราด้วย เช่นอาจจะเริ่มที่ 30% หรือ 50% ก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีการจ้างงานราคาสูงหรือมีความยากมากขึ้น เช่นจำนวนเงินโดยรวมมากกว่า 10,000 บาท ขึ้นไป หรือการทำคอนเทนต์ที่เป็นรูปแบบวิดีโอ
แต่ถ้าลูกค้าเป็นลูกค้าเจ้าใหญ่ บริษัทมีชื่อเสียง หรือถ้าจำนวนเงินจ้างไม่เยอะมากนัก ลูกค้าเคยทำกับเรามาก่อนและจ่ายเงินตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ แน่นอนว่าเราอาจจะพิจารณาเป็นเคสไปได้ว่า จะให้เครดิตเทอมเจ้าไหน เป็นระยะเวลาเท่าไร หรือจะไม่เก็บมัดจำเลยก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมมากกว่า แต่ทางที่ดีนอกเหนือจากลายเซ็นในใบเสนอราคาแล้ว การเก็บเงินมัดจำว่าทางลูกค้าจะทำกับเราถือว่าแน่นอนมากกว่าด้วย
Influencer เลือกงาน ที่ถนัด ที่เหมาะกับภาพลักษณ์กับเรา และไม่ผิดกฎหมาย
สำหรับ Influencer มือใหม่ แนะนำเลยว่า เราอยากให้ภาพลักษณ์ของเราเป็นแบบไหน คนที่ติดตามเราเป็นใคร เราถึงค่อยทำคอนเทนต์ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายออกมา เมื่อเราวางภาพลักษณ์ของเราได้แล้ว แน่นอนว่าเราก็จำเป็นที่จะต้องเลือกงาน แบรนด์สินค้า และประเภทของคอนเทนต์ ให้เหมาะกับเรา ซึ่งแน่นอนว่าช่วงแรก ๆ จะมีงานที่ไม่ได้เหมาะกับเราสักเท่าไรนัก ขึ้นอยู่กับเราว่าช่วงเวลานั้น เราร้อนเงินหรือไม่ เราเล็งเห็นเงินสำคัญกว่าภาพลักษณ์หรือเปล่า แต่การที่เราเลือกเงินก็ไม่ใช่เป็นเรื่องผิดอะไร ทราบว่าเราต้องกินต้องใช้ ถึงแม้ว่าแบรนด์สินค้าอาจจะไม่เหมาะกับเรา แต่เราก็สามารถทำคอนเทนต์ให้เหมาะกับภาพลักษณ์เราได้เช่นกัน
แต่ขอแนะนำเลยว่าเราไม่ควรโปรโมตงานที่ผิดกฎหมาย นอกเหนือจากว่าผิดกฎหมายแล้ว ยังทำให้ภาพลักษณ์ของเราที่สร้างมาเสียหายด้วย ส่วนตัวเคยมีคนมาติดต่อให้โปรโมตเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับการพนัน และการยิงโฆษณาด้านการพนัน ซึ่งขัดกับค่านิยม และความเชื่อของตัวเองอยู่แล้ว รวมไปถึงการผิดกฎหมายด้วย ทำให้เราปฏิเสธทันทีแบบไม่ต้องคิดมาก เพราะถ้าได้โปรโมตงานแบบนี้สักครั้ง จะต้องมีครั้งต่อไปแน่นอน ใช้วิถีชีวิตแบบสุจริตชนดีกว่า
ปฏิเสธงานได้ ถ้าไม่สบายใจ
ก่อนที่เราจะปฏิเสธงาน อย่างน้อยก็ต้องรู้ข้อมูลรอบด้าน ว่ามีค่าจ้างเท่าไร ลักษณะการจ่ายเงินเป็นอย่างไร สินค้าเป็นแบรนด์อะไร รูปแบบคอนเทนต์เป็นอย่างไร แน่นอนว่าถ้าเราได้ข้อมูลมาพอสมควร ทำให้เรารู้ว่าจะรับงานนี้หรือปฏิเสธงานนี้ดี เพราะว่าเราทำใบเสนอราคา และลูกค้าเซ็นเรียบร้อยแล้ว จำเป็นที่จะต้องทำให้จบงาน ถ้าไม่มีการผิดสัญญาใด ๆ
แต่ว่าเมื่อเรารู้ข้อมูลแล้ว บางอย่างไม่สบายใจ ไม่สะดวกใจที่จะทำ และยังไม่มีการทำใบเสนอราคาใด ๆ ยังไม่มีการเซ็นสัญญา เราสามารถเป็นฝ่ายปฏิเสธได้ ไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะนี่เป็นเรื่องของธุรกิจ อย่าได้กังวลไป หลายคนอาจจะกังวลว่าถ้าปฏิเสธงานไปแล้ว จะมีการเสนองานใหม่ ๆ มาให้หรือไม่ แน่นอนว่าถ้าเป็นการปฏิเสธงานแบบมีเหตุผล เช่นอาจจะไม่ตรงตาม Target หรือว่าคอนเทนต์ที่ลูกค้าต้องการอาจจะไม่ถนัด ถ้าเป็นเหตุผลรูปแบบนี้เรียกได้ว่ามีผลต่องานต่อไปน้อยมาก ๆ ลูกค้าอาจจะพิจารณาคอนเทนต์หรือ เอเจนซี่จะเสนอลูกค้ารายอื่นให้เราแทน แต่ถ้าทำงานออกมาแล้วไม่ดี อันนี้จะมีผลต่องานถัดไปมากกว่า Influencer มือใหม่ เป็นได้ไม่ยาก นอกเหนือจากการทำคอนเทนท์แล้ว ก็ต้องรู้รอบด้านในเรื่องของการเลือกงานให้เหมาะสมกับตัวเราเอง รวมไปถึงเรื่องการจ่ายเงิน และการปฏิเสธงานด้วย ทำให้เรายืนอยู่ในวงการนี้ได้นาน และเป็นมืออาชีพ
ใครที่มีคำถามเกี่ยวกับ Digital Marketing หรือเกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ สามารถ Inbox สอบถามได้ที่ Facebook ของ Digital Break Time คำถามเด็ด ๆ ที่คิดว่ามีประโยชน์จะนำมาเขียนบอกเล่าให้กับคนอื่น ๆ ได้รู้ด้วย
ติดตามข่าวสาร บทความดี ๆ จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, Twitter, Line Official Account, Instagram
ธนาคาร เลิศสุดวิชัย x Digital Break Time