Digital Marketing โบรกเกอร์ประกัน ควรเริ่มจากตรงไหน? ในยุคนี้ ใคร ๆ ก็มักจะค้นหาข้อมูลผ่านมือถือและอินเทอร์เน็ต โบรกเกอร์ประกันจะทำการทำการตลาดแบบเดิม ๆ อย่างการแจกใบปลิวหรือการโทรหาลูกค้าแบบสุ่มอาจไม่ค่อยได้ผลเหมือนเดิมแล้ว นอกจากจะเข้าถึงลูกค้าได้น้อยลงแล้ว ยังอาจทำให้ลูกค้ารู้สึกรำคาญที่ถูกโทรรบกวนอีกด้วย การทำ Digital Marketing จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับโบรกเกอร์ประกันยุคใหม่นี้ เพราะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ตรงกลุ่ม สื่อสารได้ในเวลาที่เหมาะสม แถมยังช่วยให้ลูกค้าเข้ามาหาคุณเองโดยไม่ต้องใช้วิธีขายแบบกดดันอีกด้วย
แล้วคำถามคือ “โบรกเกอร์ประกันควรเริ่มจากตรงไหน?” ถ้าคุณเป็นโบรกเกอร์ที่ยังใหม่กับการตลาดออนไลน์ ในบทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับช่องทางต่าง ๆ ในการทำการตลาดออนไลน์ พร้อมอธิบายข้อดีของแต่ละวิธีแบบง่าย ๆ เข้าใจไม่ยาก
7 วิธีทำ Digital Marketing โบรกเกอร์ประกัน เริ่มต้นอย่างไรให้ขายได้จริง
- 1. ลงโฆษณาแบบ Search Ads เจาะกลุ่มเป้าหมายตรงจุด
- 2. ใช้ Facebook Ads ช่วยสร้างตัวตนให้แบรนด์
- 3. Digital Marketing โบรกเกอร์ประกัน ใช้เว็บไซต์ สร้างความน่าเชื่อถือ
- 4. มี LINE OA ใกล้ชิดกับลูกค้าโดยไม่ต้องโทร
- 5. ให้ความรู้แทนการขายตรงด้วย Content Marketing
- 6. เล่าเรื่องผ่าน TikTok และ YouTube เปลี่ยนเรื่องประกันให้น่าสนใจ
- 7. มีรีวิวจากลูกค้า สร้างความน่าเชื่อถือได้มากกว่าการโฆษณา
- สรุปส่งท้าย Digital Marketing โบรกเกอร์ประกัน ทำการตลาดแบบเข้าใจลูกค้า แล้วผลลัพธ์จะตามมา
1. ลงโฆษณาแบบ Search Ads เจาะกลุ่มเป้าหมายตรงจุด
การลงโฆษณาบน Google โดยเฉพาะประเภท Search Ads ถือเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับโบรกเกอร์ประกัน เพราะสามารถเข้าถึงคนที่กำลังมีความต้องการซื้อจริง ๆ ได้ในช่วงเวลานั้น เช่น หากคุณซื้อโฆษณาคำว่า “ประกันรถยนต์ราคาถูก” หรือ “ซื้อประกันสุขภาพออนไลน์” เมื่อมีคนเสิร์ชคำเหล่านี้ ระบบของ Google จะนำโฆษณาของคุณไปแสดงบนหน้าผลการค้นหา ซึ่งมักจะอยู่ในตำแหน่งด้านบนของหน้าผลการค้นหา (ตำแหน่งจะแปรผันตามคะแนนโฆษณาและการแข่งขัน) ข้อดีคือ ลูกค้าที่เห็นโฆษณานี้มักเป็นคนที่สนใจจริงอยู่แล้ว เมื่อคลิกเข้าไปยังหน้าเว็บไซต์ คุณก็มีโอกาสได้ข้อมูลลูกค้า หรือแม้แต่ปิดการขายได้ทันทีในขั้นตอนนี้เลย
นอกจากนี้ การวัดผลของแคมเปญก็ทำได้ละเอียด Google จะแสดงให้เห็นว่าโฆษณาของคุณแสดงไปกี่ครั้ง มีคนคลิกกี่คน และต้นทุนต่อคลิกเท่าไร ทำให้คุณสามารถปรับแผนโฆษณาให้แม่นยำมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้ตลอดเวลา
2. ใช้ Facebook Ads ช่วยสร้างตัวตนให้แบรนด์

ถึงแม้คนที่ค้นหาบน Google จะมีความต้องการซื้อสูง แต่การทำการตลาดบน Facebook Ads ก็ยังคงต้องให้ความสำคัญอยู่ เพราะเฟซบุ๊กเป็นช่องทางที่ช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์และดึงดูดลูกค้าใหม่ได้ดีมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่อาจจะยังไม่รู้ว่าตัวเองต้องการประกัน แต่พอเห็นโฆษณาที่ตรงใจ พวกเขาจะเริ่มสนใจทันที
Facebook Ads จะช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตามอายุ ความสนใจ และพฤติกรรมการใช้งานออนไลน์ เช่น หากคุณต้องการขายประกันชีวิตให้กับพนักงานวัยทำงานในเขตเมือง คุณสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายที่มีอายุระหว่าง 25-40 ปี อาศัยอยู่ในพื้นที่เมืองใหญ่ และมีความสนใจในเรื่องการเงิน สุขภาพ หรือประกัน ระบบของ Facebook จะนำโฆษณาไปแสดงให้กับคนที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกลุ่มเป้าหมายที่คุณกำหนด เพิ่มโอกาสที่โฆษณาจะเข้าถึงคนที่สนใจจริง และอาจกลายมาเป็นลูกค้าในอนาคต
3. Digital Marketing โบรกเกอร์ประกัน ใช้เว็บไซต์ สร้างความน่าเชื่อถือ
การมีเว็บไซต์ก็เปรียบเหมือนกับการมีหน้าร้านบนโลกออนไลน์ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ลูกค้าสามารถเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้ที่พวกเขาต้องการ นอกจากนี้การมีเว็บไซต์ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับโบรกเกอร์ได้อย่างมาก เพราะลูกค้ามักจะอยากรู้ข้อมูลก่อนตัดสินใจ เช่น บริษัทนี้คือใคร? มีใบอนุญาตถูกต้องไหม? ให้บริการประกันแบบไหนบ้าง? มีเบอร์ติดต่อไหม?
เว็บไซต์ที่ดีควรมีข้อมูลชัดเจน ครอบคลุมทุกประเภทของประกันที่ให้บริการ พร้อมรายละเอียดเงื่อนไขเบื้องต้น ตารางเปรียบเทียบแผนประกัน และที่สำคัญคือมีช่องทางให้ลูกค้าติดต่อกลับได้ง่าย เช่น ปุ่มโทร ปุ่มแชท หรือแบบฟอร์มให้ลูกค้าทิ้งข้อมูลไว้ แล้วคุณค่อยติดต่อกลับภายหลัง
อีกสิ่งหนึ่งที่เว็บไซต์สามารถทำได้คือการทำ SEO (Search Engine Optimization) ซึ่งเป็นวิธีทำให้เว็บไซต์ติดอันดับใน Google แบบไม่ต้องเสียเงินโฆษณา หากคุณเขียนบทความให้ความรู้เกี่ยวกับประกัน เช่น “ประกันรถยนต์มีกี่ประเภท” หรือ “เลือกประกันสุขภาพอย่างไรให้คุ้มที่สุด” ก็มีโอกาสติดอันดับ Google ได้ในระยะยาว ลูกค้าเสิร์ชเจอโดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาซ้ำ
4. มี LINE OA ใกล้ชิดกับลูกค้าโดยไม่ต้องโทร
สำหรับตลาดไทย การสื่อสารผ่าน LINE คือช่องทางที่ใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากที่สุด โบรกเกอร์ประกันควรมี LINE OA เพราะนอกจากจะใช้เป็นช่องทางส่งข่าวสาร โปรโมชั่น หรือบทความให้ความรู้ได้แล้ว ยังสามารถให้ลูกค้าสอบถามข้อมูลได้โดยตรงในห้องแชท ทำให้ลูกค้ารู้สึกสะดวกสบาย เข้าถึงได้ง่าย และประทับใจ
LINE OA ยังมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ธุรกิจทำงานได้ง่ายขึ้น เช่น การตั้งข้อความอัตโนมัติ การจัดหมวดหมู่ลูกค้า หรือการเก็บประวัติการพูดคุย การส่งข้อความแบบ Broadcast ก็ทำได้ง่ายเหมือนส่งประกาศให้ลูกค้าหลายร้อยคนในคราวเดียว เหมาะสำหรับแจ้งข่าวโปรโมชันหรือแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่
5. ให้ความรู้แทนการขายตรงด้วย Content Marketing

ในธุรกิจประกันที่ลูกค้าจะรู้สึกว่ามีข้อมูลเยอะ เข้าใจยาก และซับซ้อน การสร้างคอนเทนต์ที่ให้ความรู้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะเมื่อคนเข้าใจ เขาจะรู้สึกมั่นใจและกล้าตัดสินใจมากขึ้น โบรกเกอร์ที่สร้างคอนเทนต์ดี ๆ จะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้มากกว่าคนที่เน้นขายเพียงอย่างเดียว
การเขียนบทความเกี่ยวกับการเลือกแผนประกัน การเปรียบเทียบแบบเข้าใจง่าย หรือแม้แต่การทำวิดีโออธิบายเงื่อนไขประกันต่าง ๆ ก็ช่วยให้ลูกค้าเห็นว่าคุณมีความรู้ และพร้อมให้คำปรึกษาอย่างจริงใจ ไม่ใช่แค่หวังจะปิดการขายเท่านั้น
6. เล่าเรื่องผ่าน TikTok และ YouTube เปลี่ยนเรื่องประกันให้น่าสนใจ
โซเชียลมีเดียในรูปแบบวิดีโออย่าง TikTok และ YouTube เป็นโอกาสทองของโบรกเกอร์ในการดึงดูดลูกค้ารุ่นใหม่ ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่ชอบดูวิดีโอสั้น ๆ เข้าใจง่าย การอธิบายแผนประกันหรือการเล่ากรณีศึกษาผ่านคลิปวิดีโอ ช่วยให้เนื้อหาประกันที่ดูเป็นทางการ กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น หรือทำเนื้อหาที่มีข้อมูลซับซ้อน นำมาย่อยและเล่าผ่านวิดีโอแบบยาวให้เข้าใจง่ายขึ้น เช่น การทำคลิปรีวิวประกันยอดนิยม เปรียบเทียบความคุ้มครอง หรือเล่าเรื่องจริงของลูกค้าที่เคยใช้ประกันจนรู้สึกว่าคุ้มค่า สิ่งเหล่านี้ช่วยกระตุ้นความสนใจและเพิ่มความน่าเชื่อถือได้เป็นอย่างดี หากทำสม่ำเสมอจะช่วยให้คนจดจำชื่อแบรนด์ของคุณได้มากขึ้นอีกด้วย
7. มีรีวิวจากลูกค้า สร้างความน่าเชื่อถือได้มากกว่าการโฆษณา
ในยุคนี้ ถ้าโฆษณาไม่โดดเด่น หรือไม่มีเนื้อหาที่โดนใจจริง ๆ คนจะไม่ค่อยให้ความสนใจ รวมไปถึงไม่เชื่อคำโฆษณาด้วย การได้ยินเสียงจากลูกค้าที่เคยใช้บริการจริง ๆ จึงมีอิทธิพลสูงมาก การขอให้ลูกค้าช่วยเขียนรีวิว ช่วยให้คะแนนบน Facebook Page หรือ Google Review หรือแม้แต่การขอให้พูดถึงคุณในวิดีโอก็เป็นวิธีที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าใหม่ได้อย่างมาก
รีวิวที่ดีไม่จำเป็นต้องยาว แค่เล่าว่าใช้บริการแล้วเป็นอย่างไร ได้รับคำแนะนำจากเซลล์ที่ดูแลดีไหม ประกันเคลมง่ายหรือเปล่า สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เพราะลูกค้าใหม่มักดูรีวิวก่อนตัดสินใจเสมอ
สรุปส่งท้าย Digital Marketing โบรกเกอร์ประกัน ทำการตลาดแบบเข้าใจลูกค้า แล้วผลลัพธ์จะตามมา
โบรกเกอร์ประกันที่ประสบความสำเร็จในวันนี้ ไม่ใช่คนที่มีงบมากที่สุด หรือมีเทคนิคซับซ้อนที่สุด แต่คือคนที่เข้าใจลูกค้ามากที่สุด และใช้ช่องทางออนไลน์ให้สื่อสารได้ตรงใจที่สุด
อย่าลืมว่า ลูกค้าไม่ได้ต้องการแค่ “ซื้อประกัน” แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ คือ “ความสบายใจ” ต้องการคนที่ให้คำแนะนำอย่างตรงไปตรงมา และมีข้อมูลที่ชัดเจนในการตัดสินใจ ถ้าคุณใช้ Digital Marketing เพื่อสร้างภาพลักษณ์แบบนั้นให้ตัวเองได้ โอกาสที่ลูกค้าจะเข้ามาหาคุณเองก็จะมีมากขึ้น
ไม่ว่าคุณจะเป็นโบรกเกอร์อิสระ หรืออยู่ในบริษัทใหญ่ การเริ่มทำตลาดออนไลน์วันนี้ ยังไม่สายเกินไป แค่กล้าลอง เรียนรู้ไปเรื่อย ๆ และตั้งใจให้บริการลูกค้าอย่างจริงใจ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะเปลี่ยนจากแค่ “นายหน้า” ให้กลายเป็น “ผู้เชี่ยวชาญด้านประกันภัยที่คนไว้วางใจ”
ติดตามเรื่องราว Digital Marketing จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, X, Line Official Account, Instagram, Spotify, YouTube, Apple Podcast





