หลักการ Optimize Ads หลายคนอาจคิดว่าการ Optimize Ads จะเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ต้องเป็นคนที่รู้ลึก หรือทำงานด้านนี้เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ใคร ๆ ก็สามารถทำได้ และใช้ระยะเวลาไม่นานเข้าใจง่าย
ซึ่งหลักการ Optimize Ads ที่ทาง Digital Break Time จะแนะนำในบทความนี้ เป็น หลักการ Optimize Ads ที่ใช้งานง่าย ใครก็ทำได้ เข้าใจไม่ยาก และใช้ได้จริง เห็นผลจริง ซึ่งส่วนตัวก็ใช้วิธี Optimize Ads แบบนี้เช่นกัน เลยจะเอาความรู้มาแชร์กันว่าจริง ๆ แล้ว ไม่ใช่เรื่องยากเลย
5 หลักการ Optimize Ads ง่าย ๆ ที่หลายคนนำไปใช้ได้
- 1. การทำกลุ่มเป้าหมายหลายกลุ่ม กลุ่มไหนทำได้ไม่ดี ให้ ปิดหรือลดเงิน
- 2. มีโฆษณา Ads หลายแบบ อันไหนราคาไม่แพง ได้ไปต่อ ราคาสูงหยุดไป
- 3. ใช้ Rules ให้เป็นประโยชน์ ตั้งค่าง่าย ๆ ให้ปิด Ads เองอัตโนมัติ
- 4. เช็ก Ads อย่างน้อย อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ไม่จำเป็นต้องเช็กทุกวัน
- 5. หลักการ Optimize Ads โดยปล่อยให้ระบบคิดเองบ้าง อย่าปรับ Bidding บ่อย
- หลักการ Optimize Ads ไม่ยาก หัวใจสำคัญคือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณาให้ดีเท่าที่จะเป็นไปได้
1. การทำกลุ่มเป้าหมายหลายกลุ่ม กลุ่มไหนทำได้ไม่ดี ให้ ปิดหรือลดเงิน
การทำกลุ่มเป้าหมายหลายกลุ่มทำให้เกิดความหลากหลายของ Audience ไม่เกิดการทับซ้อนจนเกินไป และการที่มีกลุ่มเป้าหมายหลายกลุ่มเมื่อเรารันโฆษณาไปพร้อม ๆ กัน จะช่วยเรารู้ได้ว่ากลุ่มเป้าหมายไหนทำประสิทธิภาพได้ดีกว่ากัน ยกตัวอย่างเช่น
- กลุ่มเป้าหมายแบบ Mass A ได้ Cost per Message อยู่ที่ 200 บาท
- กลุ่มเป้าหมายแบบ Mass B ได้ Cost per Message อยู่ที่ 300 บาท
- กลุ่มเป้าหมายแบบ Remarketing C ได้ Cost per Message อยู่ที่ 350 บาท
หลักการ Optimize Ads โดยหลายคนอาจจะเลือกปิดที่กลุ่มเป้าหมาย C ก่อน แต่อย่าเพิ่ง เพราะว่านั่นคือกลุ่ม Remarketing ที่เป็นลูกค้าเก่า ซึ่งโดยปกติ Cost per Results ก็มักจะแพงกว่ากลุ่ม Mass อยู่แล้ว แนะนำเป็นว่าให้ลดงบจากกลุ่ม Remarketing C ลง แล้วไปเพิ่มให้กลุ่ม Mass A ส่วนกลุ่ม Mass B จะลดงบ หรือจะปิดกลุ่มเป้าหมายนี้ก็ทำได้ แต่ถ้าต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการ Optimize ลองทำตามข้อถัดไปดู
2. มีโฆษณา Ads หลายแบบ อันไหนราคาไม่แพง ได้ไปต่อ ราคาสูงหยุดไป

ถ้าเราไม่อยากปิด Ad Set (Ad Group) กลุ่มเป้าหมายที่ราคาแพงทั้งหมด ให้ลองเข้าไปยังชั้นของ Ads ที่อยู่ในกลุ่มเป้าหมายที่มีราคาแพง ใช้หลักการเดียวกันเลย นั่นคือโฆษณาไหนที่ทำ Performance ได้ไม่ดี Cost per Result สูงมาก หรือรันแล้วใช้เงินเยอะแต่ไม่เกิดผลลัพธ์เลย แนะนำว่าให้ปิดโฆษณาเหล่านั้นเสีย นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงต้องทำโฆษณาหลากหลายรูปแบบ เพราะว่าระบบจะพยายามคัดเลือกให้เกิดโฆษณาที่หลากหลาย และจะรันอันนี้ดี ๆ ไว้ (แต่บางอย่างที่เคยเจอก็ไม่ค่อยดี ถึงได้ต้องมาตามปิดเอา)
เพราะถ้าลองคิดดู ถ้าเรามีแค่ Ads เดียว โฆษณาเดียว แล้วประสิทธิภาพไม่ดีอีก นั่นก็หมายความว่าเราจะเอาเงินไปจมกับ Ads นี้เพียงอย่างเดียว แทนที่จะใช้เงินเท่าเดิมจะได้ประสิทธิภาพดีขึ้นนั่นเอง
3. ใช้ Rules ให้เป็นประโยชน์ ตั้งค่าง่าย ๆ ให้ปิด Ads เองอัตโนมัติ
คุณรู้หรือไม่ว่า Meta Ads และ Google Ads มี Rules ให้ใช้งาน ซึ่ง Rules คือกฎอย่างหนึ่งเมื่อเราตั้งค่าไว้ สามารถนำมาใช้ได้ในระดับ Campaign, Ad Set (Ad Group), Ads เมื่อ Performance สูงถึงระดับใดระดับหรือ หรือเมื่อใช้เงินตามถึงที่เราต้องการ ให้หยุด Campaign, Ad Set, Ads ได้เลย ตามเงื่อนไขที่เราตั้งเอาไว้
ซึ่งเครื่องมือนี้จะช่วยทุ่นแรงเราเป็นอย่างมากเมื่อต้องทำ หลักการ Optimize Ads เป็นจำนวนมาก หรือมีหลาย Campaign โดยในเบื้องต้นเราอาจะเริ่มจากการกำหนดค่า เมื่อ Cost per Result เกินเท่าที่เรากำหนดไว้ ค่อยให้ปิด Ads นั้น ๆ ก็จะช่วยได้มาก เสมือนเราปิดเอง แต่เราไม่จำเป็นต้องมาดูบ่อย ๆ
4. เช็ก Ads อย่างน้อย อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ไม่จำเป็นต้องเช็กทุกวัน

หลายคนบอก การเข้ามาดู Ads ทุก ๆ วันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ ทำให้แนะนำให้เช็กอาทิตย์ละครั้งเดียวเองล่ะ เพราะเราเข้าใจดี คนที่อ่านบทความนี้ก็มักจะเป็นคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำโฆษณาเอง หรือคนที่เป้นเจ้าของกิจการที่ต้องการทดลองทำโฆษณา แน่นอนว่าก็มักจะมีหน้าที่ต่าง ๆ ที่ต้องทำเป็นจำนวนมาก การให้มาเช็ก Ads ทุก ๆ วัน เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาพอสมควร
และอีกอย่างให้อยากให้มาเช็ก Ads เป็นรายสัปดาห์มากกว่านั่นคือ การเช็ก Ads ทุกวันทำให้เราวิตกกังวล ว่าทำไมวันนี้คนส่งข้อความมาหาน้อยจัง ทำไมวันนี้คนคลิกน้อย หรือ Conversion น้อย สิ่งที่จะแนะนำได้คือให้ดูถึงค่าเฉลี่ยต่างหาก เพราะเป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ ที่บางวันโฆษณาก็ทำงานได้ดีมาก Cost per Result ถูก บางวันก็แพง เป็นเรื่องปกติ เพราะถ้าคุณ Track เป็น Daily รายวันเลย ก็จะมีแนวโน้มปรับหลายอย่างเป็นรายวัน ซึ่งก็จะเป็นข้อเสีย ซึ่งเราจะเขียนในย่อหน้าถัดไป
5. หลักการ Optimize Ads โดยปล่อยให้ระบบคิดเองบ้าง อย่าปรับ Bidding บ่อย
ผลพวงจากการที่เรามานั่งจ้อง Ads บ่อยหรือตาม Tracking บ่อย นั่นคือมีแนวโน้มสูงมาก ที่จะปรับ Bidding หรือปรับโฆษณาแบบวันต่อวัน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทำได้ แต่ไม่ดีต่อการ Optimize เลย เนื่องจากว่าระบบโฆษณาไม่ว่าจะเป็นของแพลตฟอร์มไหน ๆ ก็ใช้ Ai ในการเรียนรู้ และจะมี Learning Phase หรือที่เรียกว่าระยะเวลาเรียนรู้โฆษณา เพื่อให้โฆษณานั้นนิ่งและทำผลลัพธ์ออกมาให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยปกติแล้วระยะเวลาเรียนรู้นี้จะอยู่ที่ประมาณ 3-7 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เราแนะนำให้เข้ามาดู Ads นั่นเอง
แต่เมื่อเกิดการปรับบ่อย ๆ ปรับทุกวัน นั่นหมายความว่าระบบก็จะเรียนรู้ใหม่เรื่อย ๆ แทนที่ระบบจะนิ่ง กลับกลายเป็นว่า Result ที่ได้รับจะแกว่งกว่าเดิม (อันนี้คือทดสอบจากตัวเองเลย ยิ่งปรับมาก Result ไม่ได้ดีขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ) อีกทั้งยิ่งปรับบ่อยรายวันก็จะทำให้เราเปรียบเทียบยากมาก ว่าก่อนปรับหลังปรับเป็นอย่างไร เพราะปรับรายวัน เผลอ ๆ จำไม่ได้ แต่เมื่อปรับรายสัปดาห์หรือรายเดือน จะทำให้เปรียบเทียบง่ายกว่ามาก
หลักการ Optimize Ads ไม่ยาก หัวใจสำคัญคือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณาให้ดีเท่าที่จะเป็นไปได้
ทั้งหมดนี้เป็นหลักการ Optimize Ads ที่ทุกคนสามารถใช้งานได้ ไม่ได้ซับซ้อน หรือยากมากจนเกิดไป แต่แนะนำว่าจุดประสงค์ของการทำ Optimize Ads คือปรับปรุงประสิทธิภาพโฆษณา ให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมที่สุด ดีเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ใช่ว่าปรับแล้วจะดีขึ้นทุกเดือน หรือดีขึ้นแบบก้าวกระโดด ถ้าต้องการ Result ที่มากขึ้น แบบเห็นความต่างที่ชัดเจนมาก ๆ แนะนำว่าเพิ่ม Budget จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด
ใครที่มีคำถามเกี่ยวกับ Digital Marketing หรือเกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ สามารถ Inbox สอบถามได้ที่ Facebook ของ Digital Break Time คำถามเด็ด ๆ ที่คิดว่ามีประโยชน์จะนำมาเขียนบอกเล่าให้กับคนอื่น ๆ ได้รู้ด้วย
ติดตามเรื่องราว Digital Marketing จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, Twitter, Line Official Account, Instagram, Spotify, YouTube, Apple Podcast
ธนาคาร เลิศสุดวิชัย x Digital Break Time