หมวดหมู่ Content บนเว็บไซต์ เป็นส่วนสำคัญที่เจ้าของธุรกิจไม่ควรมองข้าม เพราะการมีเว็บไซต์ที่มีการจัดหมวดหมู่ที่ดี ใช้งานง่าย ย่อมทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีและส่งผลถึงโอกาสในการสร้าง Conversion ให้สูงขึ้นด้วย ในบทความนี้เราจะพามาดูกันว่า การจัดหมวดหมู่คอนเทนต์บนเว็บไซต์มีแบบไหน และหลักในการจัดหมวดหมู่คืออะไร มีวิธีคิดอย่างไร
จัดระเบียบคอนเทนต์บนเว็บไซต์ มีแบบไหนบ้าง ทำยังให้โดนใจผู้ใช้งาน
ใส่ใจกับการจัด หมวดหมู่ Content บนเว็บไซต์ ให้อะไรมากกว่าที่คิด

- เพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้น
เมื่อเนื้อหาถูกจัดหมวดหมู่ชัดเจน ผู้ใช้ก็จะสามารถค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่ายขึ้น ลดความซับซ้อนในการหาสิ่งที่ต้องการ ทำให้เว็บไซต์เป็นมิตรต่อผู้ใช้งานมากขึ้น - ช่วยเพิ่ม Conversion และยอดขาย
สำหรับเว็บไซต์ที่ขายสินค้าและบริการ การจัดหมวดหมู่ที่ดีช่วยให้ลูกค้าพบสิ่งที่ต้องการได้เร็วขึ้น ลดโอกาสที่พวกเขาจะออกจากเว็บไซต์ไปก่อนตัดสินใจซื้อ - ช่วยให้ Google และเครื่องมือค้นหาทำงานได้ดีขึ้น (SEO-Friendly)
การจัดระเบียบเนื้อหาอย่างเหมาะสมช่วยให้เว็บไซต์ถูกจัดอันดับดีขึ้นบนเครื่องมือค้นหา ทำให้สามารถดึงดูดผู้เข้าชมได้มากขึ้น - รองรับการวางโฆษณาให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย
เว็บไซต์ที่มีการแบ่งหมวดหมู่ชัดเจนทำให้สามารถแสดงโฆษณาให้เหมาะสมกับเนื้อหาและกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น
4 ประเภทการจัด หมวดหมู่ Content ยอดนิยม
1. จัดหมวดหมู่ตามสินค้าและบริการ
การจัดหมวดหมู่ตามสินค้าและบริการเป็นวิธีที่พบได้บ่อยในเว็บไซต์ธุรกิจและอีคอมเมิร์ซ โดยจะแบ่งคอนเทนต์ตามหมวดหมู่ของสินค้าหรือบริการที่ขาย เช่น เว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ก็อาจจะแบ่งคอนเทนต์ตามหมวดหมู่สินค้า เช่น เสื้อผ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ หรือเครื่องสำอาง ในขณะที่เว็บไซต์ธุรกิจจะแบ่งคอนเทนต์ตามประเภทของบริการ เช่น บริการด้านการตลาด บริการออกแบบเว็บไซต์
ข้อดีของวิธีนี้คือ เมื่อเรากำหนดหมวดหมู่คอนเทนต์ตามสินค้า เมื่อเกิด Conversion เราก็จะรู้ได้ชัดเจนว่า คอนเทนต์หรือสินค้าประเภทไหนที่ได้รับความนิยม
2. จัดหมวดหมู่ตามความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย
การจัดหมวดหมู่คอนเทนต์ตามความสนใจของผู้ใช้งาน มักเจอได้บ่อย ๆ ในเว็บไซต์ข่าวสาร บล็อก หรือแพลตฟอร์มให้ความรู้ ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ข่าวสารอาจแบ่งหมวดหมู่เป็นข่าวบันเทิง กีฬา เทคโนโลยี หรือเศรษฐกิจ ในขณะที่บล็อกอาจแบ่งเป็นบทความเกี่ยวกับสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยว หรือการพัฒนาตนเองและอาชีพ
ข้อดีคือ วิธีนี้ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกอ่านคอนเทนต์ตามหมวดหมู่ที่สนใจได้โดยตรง และเมื่อคนกลุ่มนี้มีความสนใจเฉพาะตัวอยู่แล้ว เว็บไซต์จะสามารถนำเสนอเนื้อหาได้ตรงจุด นอกจากนี้ยังเอื้อต่อการวางโฆษณาให้ตรงกลุ่มเป้าหมายอีกด้วย เพราะสามารถเลือกลงโฆษณาในหมวดหมู่ที่เกี่ยวข้องได้ง่ายขึ้น
3. จัด หมวดหมู่ Content ตามประเภทของเนื้อหา
การจัดหมวดหมู่ตามประเภทของเนื้อหาเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกบริโภคคอนเทนต์ในรูปแบบที่ต้องการได้สะดวกขึ้น เช่น เว็บไซต์ข่าว แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ หรือพวกสตรีมมิ่ง Netflix YouTube ที่มักจะมีคอนเทนต์หลายรูปแบบ ทั้งแบบบทความ วิดีโอ อินโฟกราฟิก และพอดแคสต์ พวกเขาก็จะแยกหมวดหมู่ตามประเภทเนื้อหาเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกบริโภคคอนเทนต์ในรูปแบบที่พวกเขาชื่นชอบหรือสะดวกมากที่สุดได้
ข้อดีของวิธีนี้คือช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกประเภทเนื้อหาที่เหมาะกับพวกเขามากที่สุด และยังเหมาะสำหรับเว็บไซต์ที่นำเสนอคอนเทนต์ในหลายรูปแบบ
4. จัดหมวดหมู่ตาม Tips & Tricks หรือแบ่งตามปัญหา/คำถามของลูกค้า
เว็บไซต์ที่เน้นให้ความรู้และช่วยแก้ปัญหาเป็นหลัก มักจะนำเสนอเนื้อหาที่สอนวิธีการทำสิ่งต่าง ๆ หรือแนะนำแนวทางแก้ไขปัญหา โดยอาจเป็นเว็บไซต์ที่ให้คำแนะนำทั่วไป หรือเป็นเว็บไซต์เฉพาะที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้าโดยตรง เว็บไซต์เหล่านี้มักจัดหมวดหมู่คอนเทนต์ตามประเภทของปัญหาหรือหัวข้อที่เกี่ยวข้อง เช่น บทความสอนทำ DIY ที่สอนวิธีสร้างหรือซ่อมแซมสิ่งของด้วยตัวเอง บทความให้คำแนะนำเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาคอมพิวเตอร์ หรือบทความเกี่ยวกับสุขภาพและโภชนาการ
ข้อดีคือสามารถดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้สม่ำเสมอ เพราะเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์และไม่ล้าสมัย ยกเว้นบางอย่างที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย ๆ เช่น ซอฟต์แวร์ มือถือ ก็อาจจะต้องมาอัปเดตข้อมูลบ่อยหน่อย อีกข้อดีคือสามารถใช้คอนเทนต์ในการแนะนำสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องได้อย่างแนบเนียน ตัวอย่างเช่น หากเว็บไซต์นำเสนอวิธีแก้ปัญหาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ก็สามารถแปะลิงก์สินค้าที่ช่วยแก้ปัญหานั้น ๆ ได้โดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าได้มากขึ้น
เคล็ดลับจัด หมวดหมู่ Content บนเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มยอดขายและดึงลูกค้า

1. สร้างหมวดหมู่หลักที่ชัดเจน
หมวดหมู่หลักคือสิ่งแรกที่ผู้ใช้จะเห็นเมื่อเข้ามาที่เว็บไซต์ ตัวอย่างหมวดหมู่หลักที่เว็บไซต์ต่าง ๆ มักใช้กัน เช่น “สินค้าของเรา” “บริการ” “โปรโมชั่น” หรือ “เกี่ยวกับเรา” การสร้างหมวดหมู่หลักต้องเป็นคำที่เข้าใจง่าย ช่วยให้ลูกค้ารู้ทันทีว่าคุณมีอะไรให้เลือกดู
2. ใช้หมวดหมู่ย่อยเพื่อจัดระเบียบให้ดีขึ้น
หากหมวดหมู่หลักมีข้อมูลเยอะเกินไป ลองแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ย่อย เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกดูข้อมูลที่ต้องการได้ทันที และแน่นอนว่าการตั้งชื่อหมวดหมู่ควรใช้ชื่อที่อ่านแล้วเข้าใจได้ทันทีว่าเกี่ยวกับอะไร โดยเฉพาะหมวดหมู่ Content สำหรับธุรกิจต่าง ๆ เมื่อทำให้ค้นหาแล้วเจอสินค้าได้เร็ว ไม่ซับซ้อน จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำ Conversion ได้สูงขึ้น
เช่น ถ้าคุณขายเสื้อผ้าออนไลน์แล้วมีหมวดหมู่หลักเป็น “เสื้อผ้าผู้ชาย” ในนั้นอาจมีหมวดหมู่ย่อยเป็น “เสื้อเชิ้ต” “กางเกง” “แจ็คเก็ต” การทำแบบนี้ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณไม่ยุ่งเหยิง ผู้ใช้สามารถค้นหาสิ่งที่ต้องการได้รวดเร็ว
3. ใช้ Tag เชื่อมโยงคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกัน
แท็กเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คอนเทนต์ในเว็บไซต์ของคุณสามารถเชื่อมโยงกันได้ เช่น ถ้าคุณมีบทความเกี่ยวกับ “เทคนิคการตลาดออนไลน์” คุณอาจใส่แท็กอย่าง “การตลาดออนไลน์” “SEO” “โซเชียลมีเดีย” เพื่อให้ผู้ใช้ที่สนใจสามารถคลิกไปดูบทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ นอกจากจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการค้นหาข้อมูลแล้ว ยังช่วยเพิ่มการเข้าถึงคอนเทนต์ที่หลากหลาย
4. จัดเนื้อหาตามตามความนิยมหรือความสำคัญ
การแบ่งหมวดหมู่เป็นเนื้อหาที่ได้รับความนิยม ไม่ว่าจะเป็นสินค้าขายดี บทความแนะนำ หรือโปรโมชั่นพิเศษ จะทำให้ลูกค้าเห็นว่าเว็บไซต์ของคุณมีสินค้าหรือบริการที่น่าสนใจ อะไรที่มีคนให้ความสนใจเยอะ หรือมีคนซื้อเยอะ จะยิ่งช่วยดึงดูดให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
อ่านมาถึงตรงนี้ คุณผู้อ่านคงเห็นแล้วว่าแค่การจัดหมวดหมู่คอนเทนต์ก็ส่งผลต่อหลายปัจจัยสำคัญ ทั้งประสบการณ์ของผู้ใช้ โอกาสในการทำ Conversion และการจัดอันดับเว็บไซต์บนหน้าผลการค้นหา ดังนั้นอย่าลืมให้ความสำคัญกับการจัดระเบียบคอนเทนต์บนเว็บไซต์ของคุณด้วยนะ
ติดตามเรื่องราว Digital Marketing จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, X, Line Official Account, Instagram, Spotify, YouTube, Apple Podcast