LazMall กับ Shopee Mall เรียกว่าเป็นคู่แข่งกันชัดเจน ซึ่งการที่จะเป็นร้านค้าอย่างเป็นทางการ ในนามของ LazMall และ Shopee Mall ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งในบทความที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ จะวัดเฉพาะนำสินค้าเพื่อเข้าไปลงขายว่า กว่าจะเป็น LazMall และ Shopee Mall ได้นั้น ลงขายที่ไหนง่ายกว่ากัน ซึ่งเราจะไม่ได้เปรียบเทียบถึงค่า GP (ซึ่งไม่ค่อยมีความแตกต่างกันเท่าไร) เน้นเฉพาะขั้นตอนกว่าจะได้เป็นร้านค้าอย่างเป็นทางการเท่านั้น
อ่านหัวข้อที่ต้องการ
เอกสารที่ต้องเตรียม
ทั้ง LazMall และ Shopee Mall ต่างจำเป็นที่จะต้องใช้เอกสาร ซึ่งโดยรวมแล้วเอกสารที่ต้องเตรียมไม่ค่อยแตกต่างกัน เช่น
- สำเนาบัตรประชาชนผู้มีอำนาจลงนาม
- สำเนาหน้าสมุดบัญชีบริษัท
- สำเนาหนังสือรับรองจดทะเบียนบริษัท
- สำเนาใบทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20)
- เอกสารอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ (สำหรับเจ้าของแบรนด์ หรือตัวแทนจำหน่าย)
- ใบรับรองการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า
- หนังสือมอบอำนาจในการจัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว
- ใบรับรองการเป็นตัวแทนจำหน่าย
นอกเหนือจากนี้อาจมีเอกสารอื่นเพิ่มเติม ซึ่งไม่มีความแตกต่างมากนัก แต่โดยรวมจะใช้เอกสารเหล่านี้เป็นหลักมากกว่า
เรื่องระบบการสมัครสมาชิกและการส่งเอกสารทั้ง LazMall กับ Shopee Mall

- LazMall จาก Lazada
มีระบบสมัครสมาชิกในเว็บไซต์ และสามารถยื่นเอกสารผ่านเว็บไซต์ได้เลย เมื่อได้รับเชิญจากฝั่ง Business Development ของ Lazada ก็จะมีคู่มือการสมัคร LazMall ในเบื้องต้น และมีการมีตติ้งออนไลน์เพื่อให้รับรู้ผลประโยชน์ทั้งหมดจากการเป็น LazMall จากนั้นถึงขั้นตอนการสมัครทั้งหมดว่าต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง รวมไปถึงต้องอัปโหลดเอกสารที่ตรงไหน ต้องใช้ไฟล์อะไรที่จำเป็น ทุกอย่างสามารถทำได้ที่ขั้นตอนผ่านเว็บไซต์ทั้งหมด เมื่อทำสำเร็จแล้ว เพียงแค่แจ้งกับทางฝั่ง Business Development ก็จะดำเนินขั้นตอนถัดไป คือการรีวิวเอกสาร - Shopee Mall
ช้อปปี้มอลล์นั้นมีความแตกต่างจาก LazMall ค่อนข้างมากพอสมควร ซึ่งเราสามารถสมัครสมาชิกร้านค้าก่อนได้ทันที แล้วเราค่อยส่งเอกสารทั้งหมดผ่านทาง E-Mail ให้กับ Business Development แล้วขั้นตอนต่อจากนั้นคือการดูไลฟ์และทำแบบทดสอบ ซึ่งจะมีเป็นรอบ ๆ ไป โดยเฉลี่ยจะมีอาทิตย์ละ 1 วัน และยังมีการทำแบบทดสอบเพื่อให้แน่ใจว่าเราผ่านการทดสอบการใช้งาน Shopee Mall ในเบื้องต้น เมื่อผ่านการทดสอบแล้ว ซึ่งในตรงนี้เองอาจมีความซ้ำซ้อนของการส่งเอกสาร และแอบมีความยุ่งยากมากกว่าพอสมควร เพราะต้องส่งเอกสารหลายรอบ และบางท่านอาจไม่ได้มีเวลาตรงกับรอบไลฟ์ด้วย
ในเรื่องของระบบการสมัครสมาชิกและการส่งเอกสารนั้น ในส่วนนี้ให้ LazMall จาก Lazada ชนะลอยลำ Shopee Mall ไปโดยปริยาย เพราะเป็นการทำผผ่านเว็บไซต์ของ Lazada เอง เกือบ 100% ทำให้การส่งเอกสารผ่านระบบไม่มีความซับซ้อนและไม่ยุ่งยาก ผิดกับ Shopee Mall ที่ยังต้องมาส่งอีเมลกันอยู่
ความรวดเร็ว ระยะเวลาในการดำเนินการ

- LazMall จาก Lazada
เร็วมาก เร็วจนน่าตกใจ เมื่อยื่นเอกสารครบถ้วน เร็วที่สุดคือภายใน 5 วัน (นับรวมวันหยุดเสาร์อาทิตย์ด้วย) โดยประสบการณ์ส่วนตัว ยื่นเอกสารทั้งหมดภายในวันศุกร์ ได้รับอนุมัติภายในวันพุธของสัปดาห์ต่อมา เร็วจนแทบไม่ได้ตั้งตัวกันเลยทีเดียว อันนี้เรียกว่าต้องขอชมระบบของ Lazada ด้วย ที่ออกแบบมาดี ตอบโจทย์ผู้ประกอบการ รู้ถึงขั้นตอนว่าถึงไหนแล้ว ติดอยู่ที่ขั้นตอนใด จึงไม่แปลกใจเลยที่จะสำเร็จภายใน 5 วัน - Shopee Mall
ส่วนของ Shopee Mall นั้นค่อนข้างมีความสลับซับซ้อนกว่า LazMall มาก เนื่องจากการรับส่งเอกสารยังใช้อีเมลเพื่อยืนยันเอกสารอยู่ อาจทำให้เกิดความล่าช้า และเอกสารตกหล่นได้ ถึงแม้ว่าเราจะส่งเอกสารทั้งหมดสำเร็จเรียบร้อย แต่ก็ยังมีคิวที่จะเรียงละดับในการเปิด Shopee Mall อีก ให้นับวันรอได้เลยที่ราว 15-30 วัน เนื่องจากต้องใช้เวลาในการรีวิว และตรวจสอบเอกสารทั้งหมด ยังไม่แค่นั้น ยังมีขั้นตอนบางอย่างที่ดูซ้ำซ้อน ต้องส่งเอกสารเดิมซ้ำไปมา จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ใช้เวลาเป็นอย่างมาก
เมื่อเปรียบเทียบทั้ง 2 หัวข้อนี้ที่กล่าวมา ในฐานะที่ประสบจากประสบการณ์ส่วนตัว ทางด้านความรวดเร็วและระบบที่รองรับ LazMall จาก Lazada เอาชนะด้าน Shopee Mall ไปโดยปริยาย ดังนั้นแล้ว ใครที่ค่อนข้างมีเวลาน้อย ต้องการความรวดเร็ว อาจจะเลือกเปิด Shop เป็น LazMall ก่อน ถ้าไม่รีบเร่งนัก Shopee Mall ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ดี หรือว่าจะเปิดทั้งสองอย่างเลยก็ย่อมได้
ใครที่มีคำถามเกี่ยวกับ Digital Marketing หรือเกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ สามารถ Inbox สอบถามได้ที่ Facebook ของ Digital Break Time คำถามเด็ด ๆ ที่คิดว่ามีประโยชน์จะนำมาเขียนบอกเล่าให้กับคนอื่น ๆ ได้รู้ด้วย
ติดตามข่าวสาร บทความดี ๆ จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, Twitter, Line Official Account, Instagram
ธนาคาร เลิศสุดวิชัย x Digital Break Time