Search Ads ใน Shopee Ads (ช้อปปี้) และ Lazada Ads (ลาซาด้า) จะตั้งค่าอัตโนมัติ หรือตั้งค่าเอง แตกต่างกันแค่ไหน และแบบไหนดีกว่ากัน ในปัจจุบันนี้ตลาด E-Commerce ในประเทศไทยมีความดุเดือดค่อนข้างมาก ทำให้การใช้โฆษณาในส่วนของ Platform E-Commerce เป็นเรื่องปกติที่พบเจอได้ทั่วไป ทั้ง Shopee และ Lazada หลายคนจึงเริ่มทาทำการตลาด Digital Marketing บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Search Ads บนทั้ง Shopee และ Lazada
Search Ads ใน Shopee Ads และ Lazada Ads ตั้งค่าแบบอัตโนมัติ กับตั้งค่าเอง แตกต่างกันอย่างไร
อธิบายความแตกต่างของระหว่าง Search Ads และ Discovery Ads
ซึ่งรูปแบบการโฆษณาของ Shopee Ads และ Lazada Ads จะแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ นั่นคือ
- Search Ads (Shopee Ads) / Sponsored Search (Lazada Ads)
การโปรโมทผ่านคำค้นหาโดยใช้คีย์เวิร์ดเป็นพื้นฐาน ซึ่งสินค้าที่ถูกเลือก เราสามารถกำหนดเองได้ และจะโชว์ในหน้าสินค้าที่แสดงผ่านผลลัพธ์การค้นหาเพื่อให้ขึ้นเป็นลำดับแรก ๆ มีความคล้ายคลึงกับ Search Ads ใน Google Ads ซึ่งโฆษณาประเภทนี้มีจุดเด่นที่ CTR (Click Through Rate), Conversion Rate, ROAS (ROI) ในอัตราที่สูง เพราะว่าตอบโจทย์มากสำหรับคนที่ค้นหาคีย์เวิร์ด แล้วสินค้าที่ตรงกับการค้นหาโผล่ขึ้นมา ก็ทำให้ตัดสินใจซื้อได้ง่าย แต่ก็มีจุดอ่อนที่ร้ายแรงคืออัตราการโชว์มีจำกัดและน้อย เพราะต้องขึ้นอยู่กับคำค้นหาเป็นหลัก - Discovery Ads (Shopee Ads) / Sponsored Products (Lazada Ads)
ส่วนโฆษณารูปแบบนี้จะเน้นการกระจายไปยังหน้า Home หรือหน้าสินค้าแนะนำอื่น ๆ รวมไปถึงการแนะนำสินค้าที่มีความคล้ายคลึงกัน ถ้าให้เปรียบเทียบกับ Google Ads ก็จะคล้ายกับ GDN, Discovery Ads ข้อดีของทำโฆษณารูปแบบนี้ สามารถกระจายโฆษณาไปได้มาก เพราะสามารถโชว์สินค้าในแอป Shopee, Lazada ใส่ส่วนที่เป็นสินค้าแนะนำแทรกเข้ามา เข้าถึงคนได้เยอะ เพิ่มโอกาสการขาย และได้ยอดขายที่มากขึ้น แต่ทว่าข้อจำกัดก็จะตรงข้ามกับ Search Ads นั่นคือ CTR, Conversion Rate, ROAS (ROI) ก็จะต่ำกว่า เพราะสินค้าที่โชว์ขึ้นมา ไม่ได้ตรงใจเท่ากับการค้นหานั่นเอง
ซึ่ง Search Ads จะถูกเรียกใน Shopee Ads ส่วน Sponsored Search จะเรียกใน Lazada ขอเรียกกลุ่มนี้รวม ๆ ว่า Search Ads เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย และ Discovery Ads จะถูกเรียกใน Shopee Ads ส่วน Sponsored Products จะถูกเรียกใน Lazada Ads แต่เพื่อให้เข้าใจตรงกันขอเรียกกลุ่มนี้ว่า Discovery Ads
แต่สิ่งที่แนะนำเป็นลำดับแรก คือไม่ควรรวมการทำ Search Ads และ Discovery Ads รวมกัน เนื่องจากจะทำให้ค่อนข้างผิดวัตถุประสงค์ของแคมเปญและวัดผลได้ยาก เนื่องจากการทำ Search Ads และ Discovery Ads ต่างมีแนวคิดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน (ซึ่งรูปแบบนี้มีใน Lazada Ads) ให้ตั้งแคมเปญแยกไปเลยดีกว่าทั้ง Search Ads และ Discovery Ads
Search Ads แบบตั้งค่าอัตโนมัติ (Auto Selected, Automated) การทำงานเป็นอย่างไร

ต้องบอกก่อว่าการตั้งค่าอัตโนมัติ คือเราไม่จำเป็นต้องเลือกคีย์เวิร์ดเอง ระบบเลือกให้ ซึ่งถือว่าสะดวกสบายมาก ๆ กับคนที่ไม่ค่อยจะมีเวลา แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่าง เช่นใน Shopee Ads และ Lazada Ads เมื่อเราเลือกแบบ Auto Select แล้ว ตรงส่วนนี้เราจะไม่สามารถปรับค่า Bid หรือราคาประมูลได้ เพราะระบบจะเป็นคนเลือกให้ด้วย และรีพอร์ตก็ไม่ได้มีการแจ้งว่าคีย์เวิร์ดไหนเป็นการทำให้เกิด Conversion หรือ Purchase
ถ้าต้องการปรับราคา Bidding หรือราคาประมูลเองต้องเลือกเป็นการตั้งค่าแบบด้วยตัวเอง Manual ซึ่ง Shopee Ads นั้นพิเศษตรงที่ว่า ในสินค้า SKU หนึ่ง สามารถทำโฆษณาได้ทั้งแบบตั้งค่าอัตโนมัติ (Auto Selected) และแบบ เลือกด้วยตัวเอง (Manually Selected)
Search Ads แบบตั้งค่าอัตโนมัติ (Auto Selected, Automatic) เหมาะกับใคร ข้อดีข้อเสีย
เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลาหรือมีสินค้าให้เลือกโปรโมทเยอะมาก ๆ อยากจะโปรโมททุกอัน แต่ก็ไม่รู้จะเลือกคีย์เวิร์ดไหนดี ให้การทำ Search Ads แบบอัตโนมัติ ก็เป็นทางออกได้เช่นกัน
ข้อดีอีกอย่างนั่นคือทำให้ราคาของ Bidding อยู่ในช่วงที่เหมาะสม ไม่สูงจนเกินไป เพราะการทำ Search Ads แบบตั้งค่าอัตโนมัติ ระบบจะเลือก Bidding ราคาที่เหมาะสมให้เอง ราคาก็จะไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับการเลือก Bidding แล้วใส่ราคาสูง ๆ ได้
ส่วนข้อจำกัดก็อย่างที่บอกไปแล้วเบื้องต้นว่าไม่สามารถปรับ Bidding ได้เอง และ Report นั้นไม่สามารถแยกออกมาดูได้ว่าคีย์เวิร์ดไหนที่ใช้งานแล้วออกมาดีได้ เพราะเท่าที่ดาวน์โหลดรีพอร์ต ระบบไม่มีการแยกให้ดู และเฉพาะของ Lazada Ads เราจำเป็นต้องแยกการตั้งค่า Search Ads แบบอัตโนมัติ ออกมาเป็นหนึ่งแคมเปญไปเลย ไม่สามารถใช้การตั้งค่าแบบอัตโนมัติกับเลือกด้วยตัวเองรวมกับในแคมเปญเดียวกันได้ แต่ของ Shopee Ads นั้นสามารถทำได้ ในโฆษณา 1 SKU เลือกได้ทั้งแบบอัตโนมัติผสมกับการเลือกคีย์เวิร์ดเองได้ด้วย
Search Ads แบบตั้งค่าด้วยตัวเอง (Manually Selected) การทำงานเป็นอย่างไร

การทำงานของ Search Ads ทั้งใน Lazada และ Shopee แบบตั้งค่าด้วยตัวเองมีความเหมือนกัน นั่นคือเราจำเป็นที่จะต้องเลือกคีย์เวิร์ดด้วยตัวเอง ว่าสินค้านี้เหมาะกับการใช้คีย์เวิร์ดแบบไหน บอกเลนว่าถ้าใครใช้งาน Google Ads ส่วนที่เป็น Search Ads อยู่แล้ว ก็จะใช้งานง่ายขึ้น เพราะใช้หลักการเดียวกันเลย คือเราต้องเลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่เราจะขาย เช่นถ้าเราขายแก้วน้ำ เราก็สามารถใส่คำตัวอย่างเช่น
- แก้วน้ำ
- แก้วน้ำเซรามิค
- แก้วมัค
- แก้วกาแฟเซรามิค
อันนี้คือตัวอย่าง ซึ่งทั้ง Shopee และ Lazada ก็จะมีคำแนะนำหรือคำใกล้เคียงมาให้ด้วย สิ่งที่เราจะต้องดูเพิ่มเติมว่า Search Volume ในระยะเวลาย้อนหลัง 30 วันที่ผ่านมา มีคนค้นหาอยู่ที่เท่าไร ยิ่งปริมาณการค้นหาสูง นั่นหมายความว่าสินค้านี้มีความต้องการสูง (และแน่นอนว่าก็ย่อมมีคนใช้งานคีย์เวิร์ดนี้สูงไปด้วย) และมีราคาแนะนำว่าควรจะ Bidding เท่าไร โดยปกติแล้วส่วนตัวแนะนำว่าว่าควร Bidding ในราคาที่ +-20% ของราคาที่แนะนำ เพื่อให้โฆษณาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ แต่ถ้าเจอว่าราคา Bidding แพงเกินกว่าที่เราจะรับได้ ก็สามารถ Bidding ในราคาที่ต่ำมาก ๆ ได้ -80% (เพราะส่วนตัวเคยทำ) แต่ก็ต้องทำใจยอมรับเลยว่าบางทีโฆษณาจะไม่ใช้เงินเพราะเรา Bidding ราคาต่ำมาก หรือแนะนำว่าให้หาคีย์เวิร์ดอื่นทดแทน หรือจะปรับไปใช้แบบอัตโนมัติก็ได้
และอีกอย่างคือการเกี่ยวข้องของคีย์เวิร์ดที่เราจะเลือก ว่าเกี่ยวข้องกับสินค้าเราแค่ไหน ก็จะมีแถบมาตรวัดเล็ก ๆ ให้ซึ่งตรงนี้คำที่เกี่ยวข้องมาก ก็จะช่วยให้สินค้าของเราโชว์ได้บ่อยครั้งขึ้นด้วย ซึ่งต้องบอกก่อนว่า Shopee และ Lazada เราไม่จำเป็นที่จะต้องเขียน Text Ads เองเหมือนของ Google Ads แต่จะเอาสินค้านั้น ๆ เป็นหน้า Landing Page และโชว์ชื่อสินค้านั้นเป็น Text Ads ดังนั้นการที่จะปรับแก้ไขเพื่อให้มีความเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดนั้น ๆ สูง ควรจะทำที่ตัวสินค้าเลย โดยใส่ชื่อรายละเอียดสินค้าให้ครบส่วนที่เป็นหัวข้อ และส่วนตรงที่เป็นรายละเอียดแน่นอนว่าก็ต้องใส่พวกคุณสมบัติ รายละเอียดสินค้าต่าง ๆ วิธีการใช้งาน ฯลฯ ซึ่งทั้งสองส่วนนี้เองที่จะช่วยให้มีความเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดมากขึ้น
Search Ads แบบตั้งค่าเลือกคีย์เวิร์ดเอง (Manually Selected) เหมาะกับใคร ข้อดีข้อเสีย
เหมาะกับคนที่มีสินค้าที่จะโปรโมทไม่มากนัก หรือโฟกัสสินค้าที่จะโปรโมตได้ โดยเลือกเป็นบาง SKU สามารถให้เวลากับตรงนี้ได้ และเหมาะกับคนที่เคยทำโฆษณา Digital Marketing อย่าง Search Ads ใน Google Ads เพราะด้วยหลักการที่คล้ายคลึงกัน จะช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น และยังสามารถเลือกคีย์เวิร์ดได้เร็วขึ้นด้วย
ข้อดีที่เห็นได้ชัด ๆ คือเมื่อเราเลือกคีย์เวิร์ดเอง เราก็สามารถคุมราคา Bidding ได้เป็นรายคีย์เวิร์ดเลยทีเดียว รีพอร์ตที่มีมาให้ก็สามารถระบุได้เลยว่าคีย์เวิร์ดไหนที่สามารถทำให้เกิด Conversion ได้ เราก็สามารถปรับราคา Bidding คีย์เวิร์ดที่ทำ Conversion ให้สูงขึ้นได้
แต่ก็มีข้อเสียอีกอย่างหนึ่งคือ ถ้าเราเลือกราคา Bidding ที่สูงเกินไป ก็จะทำให้ราคาต่อคลิกพุ่งสูงมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงวัน Double Day อย่าง 11.11 12.12 ที่ทุกคนก็มักจะใช้เงินในช่วงนี้ อัตราการแข่งขันก็จะสูงขึ้น ทำให้ราคา Bidding สูง เพราะฉะนั้นต้องคอยควบคุมราคา Bidding ให้พอเหมาะ เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องจ่ายในราคาที่สูงจนเกินไป
สรุป Search Ads แบบตั้งค่าอัตโนมัติ กับตั้งค่าเองแบบไหนดีกว่า ควรเลือกแบบไหน
อันนี้ไม่มีผิดไม่มีถูก สามารถใช้งานได้ตามที่คิดว่าเหมาะกับเรามากที่สุด แต่กับส่วนตัวเอง มักจะเลือกการใช้งานแบบเลือกเองกับสินค้าที่เราต้องการจะโฟกัสกับมันมาก ๆ อย่าง Hero Product สินค้าที่ขายดี มีงบให้โดยเฉพาะ เพราะการที่เราเลือกเองจะช่วยให้เหมาะกับสิ่งที่เราต้องการโฟกัสได้ เพื่อให้ได้ยอดขายที่ดียิ่งขึ้น แต่กับการทำ Search Ads ด้วยการตั้งค่าอัตโนมัติ ก็จะใช้กับสินค้าที่ไม่ได้ต้องการโฟกัสนัก ให้ระบบช่วยทำงานโดยเลือกคีย์เวิร์ดเอง ก็จะช่วยผ่อนแรงไปได้เยอะเหมือนกัน
ใครที่มีคำถามเกี่ยวกับ Digital Marketing หรือเกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ สามารถ Inbox สอบถามได้ที่ Facebook ของ Digital Break Time คำถามเด็ด ๆ ที่คิดว่ามีประโยชน์จะนำมาเขียนบอกเล่าให้กับคนอื่น ๆ ได้รู้ด้วย
ติดตามเรื่องราว Digital Marketing จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, Twitter, Line Official Account, Instagram, Spotify, YouTube, Apple Podcast
ธนาคาร เลิศสุดวิชัย x Digital Break Time