เทคนิค Optimize CPAS เรียกได้ว่าการทำโฆษณาแบบ CPAS หรือ Collaborative Ads เป็นที่ยอดนิยมมากในปัจจุบัน เรามักจะเห็นโฆษณาแบบ CPAS ที่เป็นรูปแบบแคตตาล็อกโชว์แล้วเมื่อคลิก ก็จะพาเราไปยังแอปหรือเว็บสำหรับขายของโดยเฉพาะ
ที่พบเห็นได้มากขึ้นก็เป็นเพราะผู้ให้บริการแลตฟอร์ม eCommerce หลายรายในไทย อย่าง Shopee, Lazada, NocNoc ต่างซัพพอร์ตการทำโฆษณารูปแบบนี้มากขึ้น และให้ผลลัพธ์ที่เรียกได้ว่าน่าพึงพอใจอยู่ไม่น้อย ซึ่งเลยเป็นที่มาของคอนเทนต์นี้ ที่จะมาช่วยบอกเทคนิคการ Optimize CPAS ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพจากประสบการณ์ของตัวเอง ว่ามีเทคนิคอะไรบ้าง ไปดูกัน
เทคนิค Optimize CPAS เพิ่มประสิทธิภาพโฆษณา Meta Ads
- 1. จัดเซ็ตสินค้าในการทำโฆษณาให้ดี เพราะจะเกี่ยวเนื่องไปกับการทำ Audience และ Targeting ต่างๆ
- 2. ลองกำหนด Cost per Purchase หรือ Cost per Result
- 3.ใช้ Automated Rules ลด Cost per Purchase หรือ Cost per Result
- 4. เปลี่ยนจากการทำ Retargeting สินค้าทุกชิ้นในแคตตาล็อก เป็น Retargeting เซ็ตสินค้าที่เกี่ยวข้องก็พอ
- 5. สร้างแคมเปญจุดประสงค์แบบ Add to Cart ไว้ล่วงหน้า แล้วตบด้วย Purchase เพื่อปิดการขาย
- 6. อย่าลืมวัดจากผลลัพธ์ UTM บนแพลตฟอร์มควบคู่ไปด้วย เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ
- สรุป เทคนิค Optimize CPAS เพิ่มประสิทธิภาพโฆษณา Meta Ads จากประสบการณ์จริง
1. จัดเซ็ตสินค้าในการทำโฆษณาให้ดี เพราะจะเกี่ยวเนื่องไปกับการทำ Audience และ Targeting ต่างๆ

เป็นวิธีที่เรียกได้ว่าพื้นฐาน แต่มีความสำคัญค่อนข้างมาก เนื่องจากในบางร้านค้านั้น มีสินค้าที่เรียกได้ว่าค่อนข้างเยอะมาก และถ้าเราไม่ได้จัดเซ็ตของแคตตาล็อก จะทำให้เราโปรโมทสินค้าทั้งร้าน หรือแบบ All Products แน่นอนอาจจะดูว่าดี สินค้าของเราจะได้รับการโฆษณาทั้งหมด แต่ในความเป็นจริงแล้วจำนวนเงิน Budget ในการทำโฆษณามีจำกัด เราควรโฟกัสไปเป็นบางสินค้าจะดีกว่า โดยการจัดเซ็ตเป็นทางออกในนั้น
โดยเราสามารถจัดเซ็ตได้ที่ All Tools > Commerce Manager > เลือกแคตตาล็อก > Sets > คัดเลือกสินค้าตามเซ็ตที่ต้องการ โดยเราสามารถเลือกฟิลเตอร์ได้หลายอย่าง ทั้งค้นตามชื่อ Titles ราคา หรือ เลือกเองก็ได้เช่นกัน แนวคิดของการจัดเซ็ตนั้นก็ทำได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่เป็นหมวดเดียวกัน มีความคล้ายคลึงกัน เซ็ตสินค้าขายดี เซ็ตสินค้าตามราคา เซ็ตสินค้าล้างสต็อก ฯลฯ
เมื่อเราจัดสินค้าตามเซ็ตเรียบร้อย แน่นอนว่าสิ่งที่มีผลตามมา นั่นคือกลุ่มเป้าหมายนั่นเอง พอเราจัดเซ็ตสินค้าที่มีความแตกต่างกัน การจัดกลุ่มเป้าหมาย Audience ที่เราเลือก ก็จะมีเซ็ตสินค้าเป็นตัวนำในการตัดสินใจ ทำให้กลุ่มเป้าหมายไปทางเดียวกับเซ็ตสินค้านั้นเอง
2. ลองกำหนด Cost per Purchase หรือ Cost per Result
การใช้งาน Cost per Purchase หรือ Cost per Result (ขึ้นอยู่กับ Objective) นั้นเป็นตัวเลือกเสริมที่หลายคนอาจจะมองข้ามไป แต่ทว่ามีประโยชน์ค่อนข้างมาก ในช่วงแรกอาจจะต้องปล่อยให้ระบบโฆษณาทำงานไปก่อน เพื่อมาดูว่า Cost per Purchase หรือ Cost per Result ที่ได้นั้นเป็นเท่าไร แล้วถ้าอยากได้น้อยลง ก็ลงใส่ค่าตรงนี้โดยลดจากค่าเฉลี่ยที่ 10-30% เพื่อให้ระบบโฆษณายังรันได้ดีอยู่ และ ว่า Cost per Purchase หรือ Cost per Result ลดลงตามที่คาดไว้ ไม่แนะนำให้มส่แบบลดลงเยอะมาก ๆ เพราะเนื่องจากจะทำให้โฆษณาไม่รัน หรือถ้าเราใส่ก่อนที่จะรู้ค่าเฉลี่ย แล้วใส่น้อยไป ก็ทำให้โฆษณาไม่รันได้เช่นกัน
หรือถ้าใครมีเว็บไซต์ของตัวเองที่ขายสินค้าเต็มรูปแบบ และนะแคตตาล็อกสินค้าเชื่อมต่อมาไว้บน Facebook ยิ่งส่งค่าพารามิเตอร์พวกราคมสินค้ามาด้วย ก็จะสามารถใช้งานอย่าง Maximize Conversion Value หรือ Target ROAS ได้ด้วย ยิ่งจะทำให้เราเน้นเรื่องของการเน้นจำนวนขายสินค้าให้ได้ Volume จำนวนเงินสูง หรือควบคุมราคาความคุ้มค่าในการทำโฆษณาได้อีก
3.ใช้ Automated Rules ลด Cost per Purchase หรือ Cost per Result
เป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้ ลด Cost per Purchase หรือ Cost per Result อีกหนึ่งหนทาง เหมาะมากสำหรับคนที่ใช้งานกลุ่มเป้าหมาย Ad Set หลายกลุ่ม หรือว่าใช้งาน Creative ชิ้นงานโฆษณาหลายชิ้น แน่นอนว่าการที่เราต้องพบเจอปัญหาที่ว่าโฆษณาบางชิ้น หรือกลุ่ม Audience บางกลุ่มได้ Cost per Purchase หรือ Cost per Result ที่ราคาแพง และทำให้ภาพรวมโดยเฉลี่ยสูงขึ้น จะให้มานั่งปรับทุกวันแน่นอนว่าทำได้แต่ใช้เวลามาก
ทางที่ดีลองใช้ Automated Rules ให้เกิดประโยชน์ จริง ๆ ทาง Digital Break Time ได้ทำคอนเทนต์เกี่ยวกับ Automated Rules ไปบ้างแล้ว ซึ่งวิธีการไม่ยากเลย หน้าที่ของ Automated Rules นั้นช่วยเปิดและปิดโฆษณาได้ ซึ่งที่เราจะใช้คือให้ปิดโฆษณา หรือปิด Ad Set โดยอัตโนมัติ เมื่อมีค่า Cost per Purchase หรือ Cost per Result สูงกว่าที่กำหนด เมื่อระบบ Automated Rules ทำงาน ก็เสมือนว่าเรามีเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลอยู่เกือบตลอดเวลา เมื่อโฆษณาหรือกลุ่มเป้าหมายที่มี ค่า Cost per Purchase หรือ Cost per Result สูง ถูกปิดการใช้งาน ก็จะทำให้เงินไปยังกลุ่มเป้าหมายหรือชิ้นงานโฆษณาที่ได้ผลลัพธ์ดีกว่านั่นเอง ผลลัพธ์คือเราจะได้ค่า Cost per Purchase หรือ Cost per Result ที่ต่ำลงด้วย
4. เปลี่ยนจากการทำ Retargeting สินค้าทุกชิ้นในแคตตาล็อก เป็น Retargeting เซ็ตสินค้าที่เกี่ยวข้องก็พอ

การใช้กลุ่ม Retargeting (หรือเรียกอีกอย่าว่า Remarketing) เป็นเรื่องธรรมดา และหลายคนที่ใช้ในการทำ CPAS ก็มักจะใช้งานอยู่แล้ว ยิ่งเป็น CPAS ก็จะได้กลุ่มเป้าหมายพิเศษมา นั่นคือเราสามารถเซ็ตโฆษณากลุ่มเป้าหมายที่เข้าไปดูสินค้า Add to Cart หรือ ซื้อสินค้านั้น ๆ ไปแล้วได้ โดยเลือกที่ Audience Type เป็น Use Information from Shopee/Lazada Account
ในส่วนที่เป็น Interacted with products from… ค่าตั้งต้นจะเป็น All Products นั่นคือการทำ Retargeting สินค้าทุกชิ้นในร้านของเรา ซึ่งแน่นอนว่าก็ดี และเราสามารถเปลี่ยนค่าตรงนี้เป็น เซ็ตสินค้าที่เราตั้งค่าไว้ได้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม ซึ่งการจัดเซ็ตสินค้าก็จะมีประโยชน์ตรงนี้มากขึ้น ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่น ถ้าร้านค้าของเรานั้นขายสินค้าเป็นเสื้อผ้าทั้งหญิงและชายรวมกันในร้านเดียว โดยเราแบ่งแยกเซ็ตสินค้าไว้
- สินค้าเซ็ต A เป็นเสื้อผู้หญิง
- สินค้าเซ็ต B เป็นกระโปรง และกางเกงสำหรับผู้หญิง
การใช้งานก็คือเราจะขายสินค้าเซ็ต B โดยนำสินค้าเซ็ต B มาทำโฆษณา และเลือก Interacted with products from… เป็นสินค้าเซ็ต A แทนที่จะเป็น All Products เพราะว่ากลุ่มเป้าหมายจะตรงกว่านั่นเอง
ซึ่งอันนี้ก็จะเป็นแค่การยกตัวอย่างแบบง่าย ๆ ให้เห็นภาพ สรุปก็คือเราสามารถจัดเซ็ตสินค้าและเลือก Retargeting กลุ่มสินค้าที่เราคิดว่าเหมาะสมได้
5. สร้างแคมเปญจุดประสงค์แบบ Add to Cart ไว้ล่วงหน้า แล้วตบด้วย Purchase เพื่อปิดการขาย
การทำโฆษณา CPAS หลาย ๆ คนก็มักอยากจะได้การขายสินค้าเป็นที่ตั้ง แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด แต่สำหรับใครที่งบการทำโฆษณามากพอ อาจจะต้องพิจารณาการทำแคมเปญที่มีจุดประสงค์ของการ Add to Cart ร่วมด้วย เพราะเมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมของผู้ซื้อ มักจะทำการ Add to cart สินค้าไว้ก่อนล่วงหน้า เพื่อไว้สำหรับซื้อสินค้าในช่วงที่เป็นวันแคมเปญ ไม่ว่าจะเป็น Double Day, Mid Month และ Pay Day
ดังนั้นถ้ามีงบประมาณโฆษณามากพอ การทำโฆษณาที่เป็นแคมเปญให้เกิด Add to Cart ไว้ก่อนล่วงหน้าวันแคมเปญ แล้วก็อย่าลืมทำแคมเปญจุดประสงค์ให้เกิด Purchase ได้ช่วงเวลาที่เป็นวันแคมเปญไปด้วย ช่วงเวลาทั้งสองอย่างนี้อาจจะเหลื่อมทับซ้อนกันสักหน่อย แต่ผลลัพธ์ก็จะช่วยให้แคมเปญของ Purchase ดีขึ้น เพราะว่ามีคน Add too Cart เพิ่มขึ้นนั่นเอง
6. อย่าลืมวัดจากผลลัพธ์ UTM บนแพลตฟอร์มควบคู่ไปด้วย เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ
สุดท้ายอย่างลืมว่าระบบของ Meta นั้น จะมี Attribution Windows อยู่ โดยปกติค่าตั้งต้นจะเป็น 1-Day View & 7-Days Click ซึ่งเราสามารถปรับได้บางส่วน หรือจะดู Report ใน Meta แยกตาม Attribution ได้ แต่ว่าถ้าต้องการความแม่นยำมาก ๆ ว่าแคมเปญที่เราทำได้นั่น มีการขายสินค้าได้เท่าไร ยอดรวมเท่าไร ก็อย่าลืมใช้ระบบ UTM ของทั้ง Shopee, Lazada ที่เราต้องสร้างมาก่อนที่จะทำแคมเปญ โดยใช้ลิงก์พิเศษนั้นเพื่อให้มาวัดผลกันว่าแคมเปญที่เราทำนั้นดีจริงแค่ไหน เพื่อดูควบคู่กัน
สรุป เทคนิค Optimize CPAS เพิ่มประสิทธิภาพโฆษณา Meta Ads จากประสบการณ์จริง
ทั้งหมดนี้เรียกได้ว่าเป็นการตกตะกอนทางความคิดที่ทางผู้เขียนเองได้ทำโฆษณาแบบ CPAS มานาน เพื่อทำให้ประสิทธิภาพของการทำโฆษณาออกมาดีกว่าเดิม จริง ๆ แล้วยังมีเทคนิคอีกมาก แต่ขอรวบรวมจัดกลุ่มมาเป็น 6 แบบใหญ่ ๆ สำหรับใครที่คิดว่ามีเทคนิคการ Optimize CPAS ที่อยากจะแชร์ ก็สามารถคอมเมนต์ไว้ได้เลยครับ
ติดตามเรื่องราว Digital Marketing จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, X, Line Official Account, Instagram, Spotify, YouTube, Apple Podcast
ธนาคาร เลิศสุดวิชัย x Digital Break Time