Content ร้านอาหาร ในยุคนี้มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ตั้งแต่ร้านเล็ก ๆ ข้างทาง ไปจนถึงร้านหรูใจกลางเมือง ทุกเจ้าต่างพยายามทำให้ลูกค้ารู้จักชื่อร้าน เข้ามาทานอาหาร และกลับมาใช้บริการซ้ำอีก ผ่านการทำคอนเทนต์ที่สร้างสรรค์และถูกวางแผนมาอย่างดี
และถ้าคุณเป็นเจ้าของร้านอาหารมือใหม่ หรืออยากเริ่มต้นจริงจังกับการใช้คอนเทนต์ดึงดูดลูกค้า วันนี้เราจะพาคุณมาสำรวจไอเดียในการทำคอนเทนต์สำหรับร้านอาหาร มีรูปแบบไหนบ้าง แต่ละคอนเทนต์คืออะไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร ควรใช้ในสถานการณ์ไหนดี อ่านจบแล้วคุณจะเห็นแนวทางในการทำคอนเทนต์ให้ร้านคุณแบบชัดเจนขึ้นแน่นอน
ส่องกลยุทธ์ทำคอนเทนต์ร้านอาหาร เลือกอ่านหัวข้อที่สนใจ
กลยุทธ์ Content ร้านอาหาร ทำคอนเทนต์แบบไหนให้คนรู้จัก ยอดขายพุ่ง
1. คอนเทนต์เน้นสร้างการรับรู้ (Awareness) ไวรัลได้ง่าย
คอนเทนต์ประเภทนี้มักมีเนื้อหาที่คนทั่วไปเข้าใจได้ง่าย เน้นความสนุก ตลก ดราม่า ซึ้ง หรือสร้างแรงบันดาลใจ พอเป็นเนื้อหาที่คนเข้าใจง่าย ก็ทำให้คนแชร์ต่อไปได้ง่าย และมีโอกาสไวรัลได้สูง ร้านอาหารหลาย ๆ ร้านมักจะเริ่มต้นจากการทำคอนเทนต์ที่เน้นสร้างการรับรู้ก่อนเพื่อให้คนรู้จักชื่อร้าน แล้วค่อยสื่อสารเรื่องอาหารจริงจังภายหลัง
คอนเทนต์ประเภทนี้ส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบคลิปสั้นที่พนักงานร้านเล่นมุกตลก สร้างสถานการณ์สมมติ หรือเล่าเรื่องราวน่าประทับใจของลูกค้า เน้นภาพความเรียล เข้าถึงง่าย ตรงใจคนดู คอนเทนต์ลักษณะนี้จึงมีพลังในการสร้างการรับรู้ได้ดีมาก
ข้อดี
- ช่วยให้คนจำชื่อร้านได้แม้จะยังไม่เคยมาทาน
- เพิ่มยอดผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียได้รวดเร็ว
- เปิดโอกาสให้ร้านได้เข้าสู่กระแสสังคมอย่างมีสีสัน
ข้อเสีย
- โฟกัสเรื่องอาหารน้อยหรือแทบจะไม่มีเรื่องอาหารเลย ทำให้ยังไม่สามารถชักจูงให้มารับประทานได้ในทันที
- หากไม่วางแผนให้ดี อาจกลายเป็นดราม่าหรือส่งผลเสียต่อแบรนด์ได้ ดังนั้นทุกกระแสที่เข้าร่วม ทุกคอนเทนต์ที่ทำควรพิจารณาถึงความเหมาะสมให้ดีก่อนเผยแพร่
2. คอนเทนต์เน้นโฟกัสอาหาร โชว์เสน่ห์เบื้องหลังที่ร้านภูมิใจนำเสนอ

เวลาที่เราจะเลือกไปทานร้านอาหารร้านใดร้านหนึ่ง หลาย ๆ ครั้งเรามักจะตัดสินใจจากภาพอาหารที่ดูน่ากิน ปริมาณแน่น หรือดูสดใหม่ใช่ไหมคะ คอนเทนต์ประเภทนี้แหละที่จะให้คุณได้นำเสนออาหารของคุณโดยเฉพาะ หรือชูจุดเด่นของร้านให้ผู้ชมได้ดู เช่น การใช้เนื้อที่ดูฉ่ำ แวววาว การตอกไข่ลาวาที่เยิ้มสวย ทำให้คนดูรู้สึกหิว หรือการปรุงอาหารที่มีเสียงกระทะดังซู่ซ่าขณะผัด ทั้งภาพและเสียงล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เกิด “การลิ้มรสผ่านสายตา” และตามมาด้วยความหิว
การทำคอนเทนต์รูปแบบนี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพของอาหาร และกระตุ้นความอยากทานแบบที่คนดูอาจต้องรีบออกจากบ้านเพื่อมาตามรอยทันที
ข้อดี
- แสดงให้เห็นถึงคุณภาพ ความน่าทาน ความสะอาด และความใส่ใจ
- กระตุ้นความหิว กระตุ้นยอดจองโต๊ะแบบทันใจ
- เสริมภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพ ความน่าเชื่อถือของร้าน
ข้อเสีย
- อาจเข้าถึงเฉพาะกลุ่มที่สนใจเรื่องอาหารเท่านั้น
- หากภาพหรือเสียงไม่มีคุณภาพ อาจทำให้ไม่น่าสนใจ
- ต้องใช้ทีมงาน การเซ็ตฉาก แสง กล้อง ไมค์ การถ่ายทำและตัดต่อ เพื่อทำให้วิดีโอมีคุณภาพ ดูน่าทาน และสามารถใช้ดึงดูดลูกค้าได้
3. Content ร้านอาหาร ใช้ Influencer ช่วยโปรโมตร้าน
ในยุคที่ผู้บริโภคเชื่อคำแนะนำจากคนที่เขาติดตามมากกว่าเชื่อโฆษณาที่มาจากร้านหรือธุรกิจโดยตรง การให้ Influencer มารีวิวอาหารจากร้านคุณจึงกลายเป็นวิธีที่ทรงพลังมากที่สุดวิธีหนึ่ง โดยเฉพาะถ้าเลือกคนที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของร้าน
Influencer สามารถสร้างคอนเทนต์ที่ดูจริงใจและให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงคุณภาพของทางร้านได้อย่างเต็มที่ เช่น การถ่ายคลิปกินเมนูใหม่ครั้งแรกแบบไม่ตัดต่อ การถ่าย Vlog ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในร้าน เห็นบรรยากาศ เห็นการบริการ เห็นเมนูอาหารต่าง ๆ การมี Influencer แนะนำร้านของเราเหมือนการมีคนช่วยรับประกันว่า “ร้านนี้คุ้มค่าที่จะลอง”
ข้อดี
- ได้ทั้ง Awareness และความน่าเชื่อถือไปพร้อมกัน
- เห็นผลเร็ว ลูกค้าอาจแห่มาที่ร้านภายในไม่กี่วัน
- ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในวงกว้าง
ข้อเสีย
- มีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะถ้าจ้าง Influencer ที่มีชื่อเสียงหรือมีผู้ติดตามจำนวนมาก
- ให้ผลลัพธ์ระยะสั้น ร้านอาจจะบูมแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ควรทำอย่างต่อเนื่องหรือใช้กลยุทธ์อื่นมาดึงดูดลูกค้าต่อ
- ถ้าเลือก Influencer ผิด เราก็จะเข้าถึงผิดกลุ่มเป้าหมายไปด้วย
4. คอนเทนต์จากลูกค้า (User-Generated Content) เสียงจากผู้บริโภคจริง

ลูกค้าหลายคนพร้อมที่จะถ่ายรูป แชร์ หรือเขียนรีวิวให้ร้านอาหารที่เขาประทับใจ คอนเทนต์เหล่านี้เรียกว่า UGC หรือ User-Generated Content ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแหล่งทรงพลังในการสร้างความน่าเชื่อถือ เพราะมันมาจากประสบการณ์จริงของลูกค้าที่มาทาน ไม่ใช่โฆษณา หรือไม่ได้ถูกจ้างให้มารีวิว
ร้านสามารถกระตุ้นให้ลูกค้าแชร์ภาพหรือรีวิว ด้วยการจัดกิจกรรม เช่น “ใครรีวิวร้านแล้วติด #ชื่อร้าน ลุ้นรับบัตรกำนัลฟรี” หรือให้เมนูทานเล่นฟรีสำหรับลูกค้าที่กดแชร์โพสต์ของร้าน
ข้อดี:
- มีความน่าเชื่อถือสูง เพราะลูกค้าไม่ได้ถูกจ้าง ดังนั้นพวกเขาจะรีวิวจากประสบการณ์จริง
- ช่วยขยายการมองเห็นของร้านไปยังกลุ่มเพื่อนของลูกค้า
- ประหยัดงบ เพราะไม่ต้องลงทุนสร้างคอนเทนต์เอง
ข้อเสีย:
- ควบคุมเนื้อหาไม่ได้ บางคนอาจเขียนรีวิวในแง่ลบ ทำให้ร้านมีชื่อเสียงในด้านลบไปเลย
- ต้องวางระบบตอบรับและจัดการความเห็นอย่างมืออาชีพ
5. คอนเทนต์โปรโมชั่นและกิจกรรม กระตุ้นยอดขายแบบได้ผล
ไม่มีอะไรดึงดูดใจลูกค้าได้เท่ากับคำว่า “ลดราคา” หรือ “แจกฟรี” การทำคอนเทนต์โปรโมชั่น เช่น Flash Sale เมนูประจำวัน หรือกิจกรรมพาแม่แวะชิมในวันแม่เพื่อรับส่วนลด กิจกรรมเหล่านี้เป็นอีกวิธีที่ช่วยเพิ่มยอดขายได้ดี
อย่างไรก็ตาม การใช้โปรโมชั่นควรมีการวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้ลูกค้ารอแต่ช่วงลดราคา และหายไปไม่กลับมาทานในช่วงเวลาปกติ
ข้อดี:
- กระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ทันที เพราะระยะเวลาของกิจกรรมหรือโปรโมชั่นมีจำกัด
- ช่วยเพิ่มยอดขายได้ในช่วงเวลาที่ลูกค้าน้อย ยอดขายตก หรือช่วง Low Season
- สามารถใช้ควบคู่กับคอนเทนต์รูปแบบอื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้ เช่น จ้าง Influencer มารีวิวร้านพร้อมบอกส่วนลดหรือกิจกรรมที่ร้านกำลังจัดอยู่
ข้อเสีย:
- อาจทำให้ลูกค้าคาดหวังว่าจะมีโปรตลอด หรือลูกค้ารอแค่ช่วงลดราคา ไม่อยากมาทานตอนราคาปกติ
- ถ้าโปรไม่แรงพอ ไม่น่าสนใจ อาจไม่สามารถดึงดูดใจลูกค้าได้
สรุป ทำ Content ร้านอาหาร ใช้หลายรูปแบบได้ และต้องมีกลยุทธ์!
การทำคอนเทนต์สำหรับร้านอาหาร ไม่จำเป็นต้องเลือกแบบใดแบบหนึ่งเท่านั้น ร้านสามารถใช้ได้ทุกรูปแบบ เพียงแต่ต้องมีกลยุทธ์ เพื่อสร้างความหลากหลายและยังคงรักษาความน่าสนใจไว้ได้อย่างต่อเนื่อง เช่น อาจเริ่มจากคลิปที่เน้นสร้าง Awareness เพื่อให้คนรู้จัก แล้วสลับกับคอนเทนต์ที่ให้เห็นถึงคุณภาพและความน่าทานของอาหาร มีการจ้าง Influencer ตามงบที่ทางร้านมี และออกโปรโมชั่นหรือส่วนลดในช่วงเทศกาลสำคัญ ๆ
หากวางแผนดี มีการวัดผล และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง คอนเทนต์ที่เหมาะสมจะช่วยผลักดันให้ร้านของคุณเติบโต และเป็นที่รู้จักในวงกว้างได้ไม่ยาก และอย่าลืมว่า คอนเทนต์ที่ดี ต้องเริ่มจากความจริงใจ ความใส่ใจ และความสม่ำเสมอ
ติดตามเรื่องราว Digital Marketing จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, X, Line Official Account, Instagram, Spotify, YouTube, Apple Podcast