เพิ่ม ROAS สำหรับการคนที่ต้องทำโฆษณาใน Shopee Ads, Lazada Ads และ TikTok Ads อาจจะเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร เพราะมีหลายปัจจัยมาก ที่เกี่ยวข้องกับ ROAS สูงหรือต่ำ และยังไม่เพียงแค่นั้น จะท้าทายมากขึ้นไปอีกถ้าจำเป็นมาก ๆ ที่ต้องใช้งบประมาณรวมเท่าเดิม
จากประสบการณ์ของ Digital Break Time และผู้เขียนเองได้ลองปรับเปลี่ยน และทดลองมาหลากหลายวิธี ก็เลยตกผลึกมาได้ว่า การที่เราจะทำโฆษณา ใน Shopee Ads, Lazada Ads และ TikTok Ads แล้วเพิ่ม ROAS ได้นั้น จำเป็นต้องมีหลักการบางอย่างที่จะเพิ่ม ROAS ขึ้นมาได้ โดยขอสรุปเป็นหัวข้อดังนี้
เพิ่ม ROAS อย่างไรดี ถ้าต้องใช้งบเท่าเดิม สำหรับการทำโฆษณาขายของใน Shopee, Lazada, TikTok
- ปรับ Target ROAS ให้สูงขึ้น เฉพาะสินค้าที่ขายได้ดีมากอยู่แล้ว
- โยกงบไปยังสินค้า SKUs ที่ทำ ROAS ได้ดีกว่า
- จัดกลุ่มสินค้าที่ทำ ROAS ได้สูง กลาง ต่ำ และปรับงบให้ความสำคัญที่ไม่เท่ากัน
- เพิ่ม ROAS ด้วยการโยกงบ สับเปลี่ยนงบประมาณ ย้ายไปยังแพลตฟอร์มอื่นที่ทำ ROAS ได้ดีกว่า
- จัดการเรื่องของ Affiliate ให้ดี เพราะเป็นตัวควบคุม ROAS ได้ดั่งใจ
- สรุป เพิ่ม ROAS อย่างไรดี ถ้าต้องใช้งบเท่าเดิม
ปรับ Target ROAS ให้สูงขึ้น เฉพาะสินค้าที่ขายได้ดีมากอยู่แล้ว

การปรับ Target ROAS เป็นจุดแรกที่อยากจะให้ทำ เพราะสามารถเพิ่ม ROAS ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าการปรับ Target ROAS ขึ้นนั้น คือเรามีความคาดหวังที่สูงขึ้น ที่จะได้ ROAS มากขึ้น ระบบจะทำการ Bidding ที่ราคาต่อคลิกลดลง เลือกคนที่ใช่มากขึ้น ก็จะกลายเป็นว่าคนจะคลิกน้อยลง ลำดับโฆษณาจะลดลงด้วย นั่นจึงทำให้ทางผู้เขียนแนะนำทำกับสินค้าที่ขายได้ดีอยู่แล้ว เพราะสินค้าที่ขายดีอยู่แล้ว และเป็นสินค้าที่หลายคนต้องการ ก็จะมีผลกระทบบ้าง แต่ไม่มาก และช่วยให้ ROAS เพิ่มได้ ส่วนการปรับเพิ่ม Target ROAS สามารถทำได้ที่เริ่มต้น 10%-30% ขอแนะนำว่าลองเริ่มจากการปรับทีละน้อยๆ ก่อนได้
ที่เราแนะนำให้ปรับ Target ROAS ให้สูงขึ้นกับเฉพาะสินค้าที่ขายได้ดีอยู่แล้ว เพราะมีแนวโน้มที่จะทำให้ ROAS สูงขึ้นได้อีก โดยที่ไม่กระทบกับยอดขายมากนัก (แต่ก็ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า การที่เราปรับ Target ROAS ให้สูงขึ้น จะทำให้ภาพรวมของสินค้านั้นได้ขายได้ GMV ลดลง ต่อให้ ROAS สูงขึ้นก็ตาม ) แต่ถ้ากลับกัน เราไปปรับ Target ROAS ให้สูงขึ้นกับสินค้าที่ขายได้น้อย ขายได้ไม่ดี ก็กลับกลายเป็นว่าจะขายไม่ดีมากยิ่งขึ้น หรือจะกลายเป็นว่าขายไม่ได้เลยก็เป็นได้ ดังนั้นต้องเลือกใช้ให้ดี
โยกงบไปยังสินค้า SKUs ที่ทำ ROAS ได้ดีกว่า
จากนั้นเรื่องของงบประมาณแล้ว ถึงแม้ว่าเราจะมีงบประมาณเท่าเดิมก็จริง แต่การโยกงบประมาณ (Reallocated Budget) เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ เพราะนั่นหมายความว่าเราให้ความสำคัญกับสินค้าไหนมากกว่ากัน เข้าใจในหลาย ๆ สถานการณ์ ว่าในบางช่วงต้องการจัดโปร ก็ลงเงินกับสินค้าที่ทำโปรโมชั่นเยอะหน่อย หรือช่วงไหนเคลียร์สต๊อก ก็ต้องใช้เงินยิงแอดส่วนที่เป็นสินค้าสต๊อกคงค้าง
แต่ว่าพอโจทย์ของเราเป็นในเรื่องของ ROAS แน่นอนว่าต้องโยกงงบประมาณมาที่สินค้าที่ทำ ROAS ได้ดีให้เยอะขึ้น เพราะค่าเฉลี่ยจากสินค้าที่ทำ ROAS ได้สูง จะเป็นตัวดึงค่าเฉลี่ย ROAS ในภาพรวมให้สูงมากขึ้น ส่วนสินค้าที่ ROAS ต่ำนั้น ก็ยังสามารถทำโฆษณาได้ แต่ขอเพียงว่า จัดสรรงบประมาณให้น้อยลง กว่าที่เป็น เมื่อจัดสรรงบน้อยลงได้อย่างเหมาะสม ก็อาจจะพบว่าสินค้าที่ขายได้ ROAS ต่ำ จะกลายเป็น ROAS สูงขึ้น เพราะเราใช้งบน้อยลงนั่นเอง แต่ยังขายได้เท่าเดิมก็เป็นไปได้
จัดกลุ่มสินค้าที่ทำ ROAS ได้สูง กลาง ต่ำ และปรับงบให้ความสำคัญที่ไม่เท่ากัน
สำหรับ TikTok GMV Max, Lazada Sponsored Discovery และโฆษณาแบบอื่น ๆ ที่ใช้แบบแคมเปญและจัดกลุ่มสินค้าเพื่อทำโฆษณา จริงๆ วิธีนี้ก็คล้ายกับวิธีก่อนหน้า คือการให้ความสำคัญกับการโยกงบไปยังสินค้าที่ ROAS ดีกว่า แต่แน่นอนว่าแพลตฟอร์มแต่ละแพลตฟอร์มนั้นไม่เหมือนกัน การจัดรูปแบบแคมเปญของสินค้า ลองจัดเป็นแบบ สินค้าที่ ROAS สูง กลาง ต่ำ ไว้ได้เลย (แต่วิธีนี้จะรู้ ROAS ได้นั้น ก็ต้องลองผิดลองถูกกับการทำโฆษณามาระยะหนึ่งบ้างแล้วนั่นเอง) แล้วจากนั้นก็ค่อยทดลองโดยแบ่ง Budget ตามที่เราต้องการ อาจจะแบ่งสัดส่วนที่แคมเปญสินค้า ROAS สูง กลาง ต่ำ ที่ 70:20:10 ก็ได้ จะเห็นว่าการลงเงินที่แคมเปญ ROAS สูงจะช่วยให้ ROAS ภาพรวมสูงตามด้วย ซึ่งถ้าทำโฆษณาไปแล้วก็สามารถปรับเพิ่มลดตามที่เราเห็นสมควรได้
เพิ่ม ROAS ด้วยการโยกงบ สับเปลี่ยนงบประมาณ ย้ายไปยังแพลตฟอร์มอื่นที่ทำ ROAS ได้ดีกว่า

ถ้าใครเป็นคนควบคุมจำนวนเงินทั้งหมดในการลงโฆษณา ว่าจะไปลงที่แพลตฟอร์มไหน หรือมีสิทธิ์ในการตัดสินใจพอสมควร แนะนำเลยว่าการโยกงบประมาณข้ามแพลตฟอร์มไปมานั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ และได้ผลดีด้วย โดยเฉพาะการโยกงบในเรื่องของเน้น ROAS เป็นหลัก เพื่อให้ ROAS ออกมาสูงสุดถึงแม้ว่าเราจะใช้งบเท่าเดิมก็ตาม เมื่อเราทำข้อมูลเป็นรายเดือน ก็จะเห็นได้ว่าแพลตฟอร์มไหน ทำให้เกิด ROAS ได้สูงสุด เราก็เพียงแค่ย้ายงบจากแพลจตฟอร์มที่ทำโฆษณาได้ ROAS ต่ำ ไปยังแพลตฟอร์มที่ได้ ROAS สูง เท่านี้ก็จะทำให้ภาพรวมของการทำโฆษณาทั้งหมดนั้นออกมาดีขึ้นกว่าเดิม
แต่เรื่องนี้อาจจะยากหน่อยสำหรับคนที่ทำเองเจนซี่ให้กับลูกค้าในบางแพลตฟอร์ม โดยเลือกทำแค่แพลตฟอร์มเดียวเท่านั้น เพราะนั่นจะกลายเป็นว่า เราจะไม่มีอิสระในการปรับ Budget ข้าม Platform เลยนั่นเอง รวมไปถึงการทำงานให้กับบริษัทใหญ่ ๆ ที่มีงบประมาณตายตัวในการลงโฆษณากลุ่มสินค้าเท่านั้น ก็จะกลายเป็นว่า เราก็จะโดนเรื่องของขาดอิสระการโยกงบนั่นเอง
จัดการเรื่องของ Affiliate ให้ดี เพราะเป็นตัวควบคุม ROAS ได้ดั่งใจ
สุดท้ายจะเป็นเรื่องของการทำ Affiliate Marketing จากในระบบของแพลตฟอร์มเป็นหลัก เนื่องจากการทำ Affiliate นั้นเป็นสิ่งเดียวที่เราสามารถควบคุม ROAS ได้แบบ 100% เพราะเราจะให้ค่าคอมมิชชั่นเป็นรูปแบบ % เป็นหลัก เป็นสิ่งเดียวในการทำโฆษณาที่ควบคุม ROAS ได้ดั่งใจ ดังนั้น การทำ Affiliate ถ้าเราไม่ได้ปรับสูงเกินไปมากนัก ก็จะเป็นตัวช่วยในการดึงค่าเฉลี่ย ROAS ให้ขึ้นมาได้
แต่ว่าก็ต้องเข้าใจในส่วนหนึ่งด้วยว่า ถ้าเราปรับค่าคอมมิชชันต่ำ นั่นหมายความว่า ROAS จะสูงจริง แต่ยอดขาย GMV ที่มาจาก Affiliate นั้นจะไม่สูง เพราะว่าความจูงใจน้อย เหล่า Creator ก็อาจจะไปเลือกปักตะกร้าของเจ้าอื่นมากกว่า แต่ถ้าคุณปรับค่าคอมมิชชันเพิ่มขึ้น แน่นอนว่า ROAS ของคุณก็จะลดลง แต่จะทำให้ยอดขาย GMV สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะมีแรงจูงใจที่มากกว่านั่นเอง
สรุป เพิ่ม ROAS อย่างไรดี ถ้าต้องใช้งบเท่าเดิม
การที่ต้องใช้งบประมาณเท่าเดิมนับว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายพอสมควร แต่ก็ใช่ว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว ซึ่งหัวใจสำคัญมากๆ มีอยู่ 2 อย่างนั่นคือการปรับค่า Target ROAS และการโยกงบประมาณไปยังกลุ่มสินค้าที่มี ROAS ดีกว่านั่นเอง นั่นหมายความว่าเราจะมียอดขายเพิ่มขึ้นได้ถ้าเราทำ ROAS ได้สูงขึ้น และใช้งบเท่าเดิม แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยกว่า การเพิ่ม ROAS นั้นก็มีขีดจำกัด และในบางกลุ่มสินค้าก็สามารถเพิ่ม ROAS ได้ไม่เท่ากัน ดังนั้นก็ควรประเมินว่าการเพิ่ม ROAS ของเราจะทำได้ที่ประมาณเท่าไร โดยลองปรับตามวิธีในบทความนี้ดูแล้วเปรียบเทียบเป็นเดือนต่อเดือนก็สามารถทำได้เช่นกัน
ติดตามเรื่องราว Digital Marketing จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, X, Line Official Account, Instagram, Spotify, YouTube, Apple Podcast
ธนาคาร เลิศสุดวิชัย x Digital Break Time