Target ROAS คืออะไร Target ROAS ย่อมาจากคำว่า Target Return on Ad Spend (tROAS) คือวิธีการควบคุม Bidding การประมูลรูปแบบหนึ่งใน Google Ads สูตรการคิดคือ (Conversions Value/Cost)*100 = Target ROAS ซึ่งหน่วยของ Target ROAS จะเป็นเปอร์เซ็นต์ ซึ่ง Target ROAS จะไม่ปรากฏให้เห็นใน Google Ads จนกว่าคุณจะตั้งค่า Target ROAS ไว้ก่อน
ส่วนอีก Metric หนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกันนั่นคือ Conv. Value/Cost คือจำนวนเงินที่ได้มาจาก Conversions หารด้วยจำนวนเงินที่เราใช้ไปในโฆษณา เพื่อให้ทราบว่าคุ้มค่าหรือไม่ ซึ่งมีที่มาจากสูตร Conversions Value/Cost = Conv. Value/Cost (ในบางแพลตฟอร์มอย่าง Meta Ads, Facebook Ads จะเรียกโดยว่า ROAS ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกันกับ Conv. Value/Cost ใน Google Ads)
หลายคนอาจจะเห็นว่าเอา Conv. Value/Cost*100 ก็เท่ากับ Target ROAS แล้วใช่ไหม ซึ่งก็คือใช่ แต่ต้องจำไว้เสมอว่า Target ROAS ไม่เท่ากับ Conv. Value/Cost เพราะ Target ROAS คือวิธีควบคุม Bidding ประเภทหนึ่ง แต่ Conv. Value/Cost คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง
Target ROAS คืออะไร ใน Google Ads เหมาะกับแคมเปญแบบไหน
ก่อนที่จะใช้งาน Target ROAS ควรจะต้อง ตั้งค่าอะไรก่อน
การใช้งาน Target ROAS ไม่สามารถอยู่ดี ๆ จะตั้งค่า Bidding ในรูปแบบนี้ได้เลย จำเป็นที่จะต้องทำอย่างน้อยอยู่ 2 อย่างก่อนคือ
- กำหนด Conversions ตั้งค่า Conversion Tracking
จำเป็นที่จะต้องตั้งค่า Conversions ก่อนซึ่งใช้ Conversions Tracking ใน Google Ads ติดในเว็บไซต์หรือจะบนแอปพลิเคชัน และกำหนด Conversions ขึ้นมา หรือจะ Import Conversions ของที่อื่นมาก็ได้ ซึ่ง Conversions ที่เรากำหนดก็จะเป็นอะไรก็ได้ เช่นเมื่อเกิดการชำระเงิน (Purchase), การสมัครสมาชิก, การลงทะเบียน ฯลฯ ขึ้นอยู่กับเราและแต่ละประเภทของธุรกิจ - กำหนดค่าของ Conversions Value
ถ้าไม่มี Conversions Value แล้ว ก็ไม่สามารถใช้งาน Target ROAS ได้ การกำหนดค่า Conversions Value คือมูลค่าของ Conversions นั้น ๆ ซึ่งถ้าเป็น eCommerce ค่า Conversions Value ก็มักจะเป็นมูลค่าสินค้าที่ขายได้นั่นเอง ส่วนถ้าเป็น Conversions จากพวก Lead ก็สามารถกำหนดค่า Conversions Value ได้เช่นกัน โดยจะอธิบายในส่วนของหัวข้อ “ธุรกิจแบบไหนที่เหมาะกับการทำ Bidding แบบ Target ROAS”
และต้องรันแคมเปญไปสักระยะหนึ่งก่อน เพื่อให้เกิดค่า Conversions และ Conversions Value โดยการตั้งค่า Target ROAS จะสามารถทำได้เมื่อเกิด Conversions และ Conversions Value บ้างแล้วซึ่งมีความแตกต่างกันของแต่ละรูปแบบแคมเปญ เช่น
- แคมเปญ Display
จากอัปเดตล่าสุดของทาง Google Ads สำหรับแคมเปญ Display นั้นสามารถใช้งาน Target ROAS ได้เลย โดยที่ไม่ต้องมี Conversions มาก่อน ซึ่งต่างจากในอดีตที่ต้องมี Conversions บ้าง - แคมเปญ Application
ต้องมี Conversions อย่างน้อยอยู่ที่ 10 Conversions ในทุกวัน หรือ 300 Conversions ใน 30 วัน - แคมเปญ Discovery
จำเป็นต้องมี 75 Conversions ใน 30 วันที่ผ่านมา และ 10 Conversions ในนั้นต้องเกิดขึ้นใน 7 วันล่าสุดด้วย - แคมเปญวิดีโอ Video
มี 30 Conversions ใน 30 วันที่ผ่านมา
จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันแคมเปญที่สามารถทำ Target ROAS ได้ง่ายที่สุดคือแคมเปญแบบ Display โดยเราสามารถลองใช้งานดูก่อนได้ตามความเหมาะสม (แคมเปญ Search ก็สามารถทำ Bidding แบบ Target ROAS ได้เช่นกัน)
Target ROAS ตั้งค่าที่ตรงไหนและอย่างไร
Target ROAS คืออะไร ปัจจุบันนี้การกำหนด Bidding ในรูปแบบ Target ROAS เป็นรูปแบบตัวเลือก จำเป็นที่จะต้องใช้งานควบคู่กับ Bidding รูปแบบ Maximize Conversion Value ด้วย โดยตั้งค่าได้ตรงที่
- ไปที่ Campaign แล้วเลือก Settings ที่รูปฟันเฟือง
- เลือกที่เมนู Bidding
- ตรง “What do you want to focus on?” เลือก Conversion Value
- เลือก เครื่องหมายถูกที่ Set a target return on ad spend (optional)
- ตั้งค่า Target ROAS ได้ตามความต้องการ โดยระบุเป็น %
สำหรับใครที่ใช้งาน Bidding แบบ Maximize Conversion Value อยู่แล้ว ก็สามารถตั้งค่าแบบง่าย ๆ ได้เช่นกัน
- ไปที่หน้า Dashboard ของ Campaign
- เลือก Columns
- ค้นหา Target ROAS เลือกเครื่องหมายถูก
- ในหน้า Dashboard ก็จะแสดง Target ROAS ในหลาย ๆ แคมเปญ เลือกเปลี่ยนได้เลย
หลักการทำงานของ Target ROAS และตั้งค่าอย่างไรให้เหมาะสม ไม่มากไป ไม่น้อยไป
เราจะเริ่มใช้ Target ROAS คือเมื่อเรามี KPI ที่ค่อนข้างตายตัว โดยต้องการใช้เงินเท่าเดิมแต่ต้องการให้ได้ Conversion Value ให้สูงขึ้นและคุ้มค่ากับการโฆษณา ดังนั้นก่อนที่จะตั้งค่า Target ROAS ไม่แนะนำให้นึกหรือคิดเอาเองว่าควรจะเท่าไร แนะนำให้รันแบบ Maximize Conversion Value แบบไม่กำหนดค่า Target ROAS ไปสักระยะก่อน ส่วนตัวแนะนำให้รันไปแล้วสัก 1 เดือน แล้วดูผลลัพธ์โฆษณาตรงที่เป็น Conv. Value/Cost ว่าได้เท่าไรแล้วค่อยมาปรับใช้กับ Target ROAS
หลักการทำงานของ Target ROAS คือเมื่อเราปรับค่า Target ROAS สูงขึ้น นั่นหมายความว่าความคาดหวังให้เกิดความคุ้มค่าในการทำโฆษณามากขึ้น การประมูลราคาอาจจะต่ำลง CPC จะลดลงได้ และบางครั้งทำให้โฆษณาโชว์กับคนที่ใช่เท่านั้น นั่นคือถ้าเราปรับ Target ROAS สูงขึ้นมาก ๆ อาจทำให้โฆษณาของเราไม่รันไปเลยก็เป็นไปได้ ส่วนตัวแนะนำว่าให้ปรับสูงขึ้นสัก 10-30% ของ Conv. Value/Cost ถ้าต้องการให้ได้ Conversion Value สูงขึ้น
กลับกับเมื่อปรับค่า Target ROAS ให้ต่ำลง ความคาดหวังทำให้เกิดความคุ้มค่าในการทำโฆษณาน้อยลง CPC ในภาพรวมสูงขึ้น แต่มีข้อดีตรงที่ว่าโฆษณาของเราจะสู้คนอื่นได้และโชว์บ่อยครั้งขึ้นด้วย ถ้าเป็น Search ก็ช่วยให้ลำดับโฆษณาเราอยู่สูงขึ้นด้วย ถ้าจะปรับให้ต่ำลงก็เทียบกับ Conv. Value/Cost แล้วปรับให้ลดลง 10-30%
ธุรกิจแบบไหนที่เหมาะกับการทำ Bidding แบบ Target ROAS
จริง ๆ หลาย ๆ ธุรกิจสามารถทำแบบ Target ROAS ได้หมดแต่ ที่เหมาะสมจริง ๆ คือ ธุรกิจ eCommerce เป็นหลักการขายสินค้าบนออนไลน์ ซึ่งโดยการตั้งค่า Conversions เป็นแบบ Purchase และ Conversions Value เป็นราคาของสินค้า ทำให้เรารู้ว่าสัดส่วนในการทำ Target ROAS และ Conv. Value/Cost เป็นเท่าไร ใช้งบการตลาดเท่าไรต่อการขายสินค้าได้ ซึ่งเหมาะสมกับการทำแบบ Bidding Target ROAS มาก
แต่ธุรกิจอีกรูปแบบหนึ่งที่สามารถใช้งาน Bidding แบบ Target ROAS ได้ นั่นคือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Lead ที่ต้องการหาคนเพื่อติดต่อกลับ เช่นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ การศึกษา ธุรกิจแบบ B2B ที่ต้องให้ เซลล์ฝ่ายขายปิดการขาย ก็เหมาะสมมาก ซึ่งในรูปแบบนี้การตั้งค่า Conversion สามารถทำได้หลายแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Micro Conversion เช่น
- Conversion A = การลงทะเบียน Submit Form
- Conversion B = การคลิกปุ่มโทรในเว็บไซต์
- Conversion C = การคลิกปุ่มติดต่อ LINEOA
- Conversion D = การคลิกปุ่มติดต่อ Messenger
จะเริ่มเห็นภาพเลยว่า Conversions หลากหลายมาก แต่เมื่อเราตั้งค่า Conversion ทั้งหมดนี้แล้ว หลายคนก็อาจจะคิดว่าใช้ Bidding แบบ Maximize Conversion ก็เพียงพอแล้ว แต่ถ้าเราใช้ Maximize Conversion จริง Google Ads ก็จะจัดเรียงความสำคัญว่า Conversion เหล่านี้เท่ากัน แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่ เพราะเหล่า Digital Marketer จะทราบดีว่า การลงทะเบียน Submit Form นั้นคือได้ชื่อ อีเมล เบอร์โทร พร้อมให้เราติดต่อกลับเลย ต่างจากอย่างอื่น และการลงทะเบียน Submit Form ก็ทำได้ยากที่สุด เพราะต้องกรอกข้อมูลด้วยตัวเองพอสมควร พอใช้ Maximize Conversion อาจทำให้เกิด Conversion C, D ได้เยอะกว่าเพื่อน เพราะทำได้ง่ายกว่ามากนั่นเอง
แต่ถ้าเราเพิ่มเติมโดยการกำหนดค่า Conversion Value ของแต่ละ Conversion โดยเป็นเลขจำนวนเงินสมมติขึ้น โดยกำหนดให้ Conversion Value สูงที่สุดใน Conversion ที่สำคัญที่สุดเช่น
- Conversion A = การลงทะเบียน Submit Form = Conversion Value 100 THB
- Conversion B = การคลิกปุ่มโทรในเว็บไซต์ = Conversion Value 50 THB
- Conversion C = การคลิกปุ่มติดต่อ LINEOA = Conversion Value 10 THB
- Conversion D = การคลิกปุ่มติดต่อ Messenger = Conversion Value 10 THB
พอเราตั้งค่า Conversion Value ตามนี้แล้ว (อย่าลืมว่าเป็นเลขสมมติ คุณจะใส่เท่าไรก็ได้ แต่ขอให้เรียงลำดับตามความสำคัญ) เมื่อทำโฆษณาแบบ Maximize Conversion Value ได้ ก็จะพยายามให้ได้มูลค่าให้สูงที่สุด นั่นคือ Google Ads จะพยายามหา Conversion A นั่นเอง แต่ถ้า Conversion A ได้ยากมาก เราก็จะได้ Conversion B, C, D มาขึ้นตามลำดับ
และเมื่อนำมาใช้ร่วมกับ Target ROAS แล้ว ก็จะดียิ่งขึ้น ขึ้นอยู่กับเราว่าจะปรับ Target ROAS เป็นกี่เปอร์เซ็นต์ และอย่าลืมว่าต้องดูประวัติการรันโฆษณา Conv. Value/Cost ค่อยนำมาปรับ Target ROAS กันอีกที
สรุป การใช้งาน Target ROAS ใน Google Ads เหมาะกับใคร
Target ROAS คืออะไร เป็นรูปแบบ Bidding หนึ่งที่ต้องใช้ร่วมกับ Maximize Conversion Value โดยสามารถใช้กับแคมเปญได้หลายแบบมาก ๆ ซึ่งจำเป็นมาก ๆ ที่เราจะต้องติด Conversion Tag กำหนดค่า Conversion และ Conversion Value ก่อนถึงจะใช้งาน Target ROAS ได้
งาน Target ROAS เหมาะกับธุรกิจที่เป็นลักษณะของ eCommerce เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการขายของออนไลน์บนเว็บไซต์ของเราเอง และขายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee, Lazada ก็สามารถทำได้ โดยใช้ Google Merchant Center ของ Shopee, Lazada แชร์แคตตาล็อกสินค้ามาให้กับ Google Ads Account ของเราได้ ซึ่งถ้าเราทำอย่างหลัง ค่า Conversion และ Conversion Value จะสามารถนำมาใช้ได้เลย เพราะตั้งค่ามาให้แล้ว ซึ่งคือสะดวกสะสบายมาก ๆ
ส่วนธุรกิจอีกรูปแบบที่เหมาะกับ Target ROAS นั่นคือธุรกิจที่มุ่งหาคนเป็นหลัก Lead นั่นเอง เป็นแนวธุรกิจที่ไม่สามารถปิดการขายบนออนไลน์ได้ จำเป็นต้องมีการพูดคุยกันก่อน เช่นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ การศึกษา ธุรกิจแบบ B2B เน้นหาคนติดต่อ ซึ่ง Conversion จะเป็นการติดต่อในแต่ละรูปแบบ และกำหนดค่า Conversion Value เป็นลักษณะเหมือนการให้คะแนนแบบสมมติไว้ เพื่อให้ลำดับความสำคัญของ Conversion ที่ไม่เท่ากัน และการใช้ Target ROAS จะช่วยให้เกิด Conversion ที่เราจัดลำดับความสำคัญไว้สูงสุด และใช้ดีด้วย ส่วนตัวก็ใช้แบบนี้เหมือนกันสำหรับธุรกิจที่เน้น Lead เช่นกัน เรียกว่า Target ROAS เหมาะสมกับการทำธุรกิจหลายรูปแบบ แต่ที่สำคัญคือเราต้องตั้งค่า Target ROAS ให้เหมาะสม เพราะถ้าเราตั้งค่าสูงไป จะทำให้โฆษณาไม่รัน แต่ถ้าตั้งต่ำเกินไป ราคา CPC อาจจะสูงไปได้
ใครที่มีคำถามเกี่ยวกับ Digital Marketing หรือเกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ สามารถ Inbox สอบถามได้ที่ Facebook ของ Digital Break Time คำถามเด็ด ๆ ที่คิดว่ามีประโยชน์จะนำมาเขียนบอกเล่าให้กับคนอื่น ๆ ได้รู้ด้วย
ติดตามเรื่องราว Digital Marketing จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, Twitter, Line Official Account, Instagram, Spotify, YouTube, Apple Podcast
ธนาคาร เลิศสุดวิชัย x Digital Break Time