เทคนิค Maximize Conversion Value ใน Google Ads สามารถนำมาปรับใช้กับ Lead ได้ไหม ลองใช้แล้วเป็นอย่างไร ต้องบอกก่อนว่าตัวผู้เขียนเองทำโฆษณาเกี่ยวกับ Lead ค่อนข้างบ่อย และเทคนิคนี้เจ้าหน้าที่ Google Ads ได้โทรมาให้คำปรึกษา แล้วตัวผู้เขียนเองรู้สึกว่าวิธีนี้มันเข้าท่าดี เลยนำมาแบ่งปันกับผู้อ่านและคนที่ติดตาม Digital Break Time สามารถนำไปปรับใช้ได้
อย่างที่กล่าวไปว่า ผู้เขียนเองทำโฆษณาที่เน้นด้าน Lead Generation ค่อนข้างมาก ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือที่นิยมของตัวเองคือ Google Ads การ Bidding ที่นิยมใช้มากสำหรับธุรกิจที่เป็น Lead นั่นคือ Target CPA และ Maximize Conversion เลยขออธิบายใน 2 ส่วนนี้ก่อน
- Target CPA
ย่อมาจาก Target Cost per Action นั่นคือการที่เราจะกำหนดราคาต่อ Conversion เพื่อให้ได้ราคาต่อ Conversion ตามที่เรากำหนดไว้ ไม่เกินไปกว่านี้ พูดง่าย ๆ คือเราตั้งค่าของ Target CPA คุมราคาเอาไว้ วิธีนี้ง่ายต่อการคุมค่าใช้จ่ายและสามารถทำนายได้ด้วยว่าในอนาคตจะได้ Conversion รวมอยู่ที่ประมาณเท่าไร ซึ่งถ้าจะให้ดีแน่นอนว่าต้องมี Conversion มาบ้างแล้ว และกำหนด Target CPA ไม่ต่ำกว่าความเป็นจริงมากไป เพราะอาจทำให้โฆษณาไม่รันหรือรันน้อยกว่าที่ควรจะเป็นได้ - Maximize Conversion
อันนี้ก็แปลตรงตัวง่าย ๆ เลยว่า ทำให้เกิด Conversion มากที่สุด ซึ่งในการ Bidding รูปแบบนี้เราไม่สามารถกำหนดราคา Bidding ได้ ซึ่งตัวระบบของ Google Ads จะเป็นคนกำหนดเองทั้งหมด ระบบจะเรียนรู้ทำให้เกิด Conversion มากที่สุด แต่เรายังสามารถใช้งาน Target CPA ควบคู่ไปด้วยได้
เทคนิค Maximize Conversion Value ใน Google Ads
- เทคนิค Maximize Conversion Value สามารถเริ่มทำอย่างไรได้บ้าง
- 1. เริ่มจากการตั้งค่า Micro Conversion สำหรับคนที่มี Conversion ค่อนข้างน้อย และไม่หลากหลาย
- 2. กำหนดค่า Conversion Value ของแต่ละ Conversion ให้ไม่เท่ากัน ตามความสำคัญ
- 3. เริ่มใช้งาน Conversion ใหม่ที่กำหนดไว้ โดยทิ้งไว้รันตามปกติ 2 อาทิตย์ขึ้นไป
- 4. วัดผลและปรับ Bidding เป็น Maximize Conversion Value ในแคมเปญที่เราต้องการ
เทคนิค Maximize Conversion Value สามารถเริ่มทำอย่างไรได้บ้าง
อย่างที่กล่าวไปในเบื้องต้นว่าการที่เราทำโฆษณาเกี่ยวกับ Lead ก็มักจะใช้ระบบ Bidding แบบ 2 ด้านบนเป็นหลัก ซึ่งก็มักจะเป็นการใช้ Conversion หลักที่ได้ Lead แบบแน่นอน เช่นการ Submit Form การลงทะเบียนแบบฟอร์มบนหน้าเว็บไซต์นั่นเอง แต่ทว่าเราสามารถกำหนด Conversion อย่างอื่นเพิ่มเติมได้ ซึ่งทำให้ใช้ เทคนิค Maximize Conversion Value ได้ โดยเริ่มจากตามวิธีด้านล่างนี้
1. เริ่มจากการตั้งค่า Micro Conversion สำหรับคนที่มี Conversion ค่อนข้างน้อย และไม่หลากหลาย
ใครที่สร้างไว้แค่ Conversion หลักไว้แค่ Conversion เดียว แนะนำให้อ่าน บทความ Micro Conversion คืออะไร เขียนไว้อย่างละเอียด เพื่อทำความรู้จักกับ Micro Conversion ให้ดียิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่นสำหรับ การทำ Lead เราจะนับ Conversion หลัก ๆ คือจากการกรอก Submit Form แต่เราสามารถเลือกจากคนที่คลิกไปยัง Facebook, คลิกไปที่ LINE OA, คลิกที่เบอร์โทร, คลิกที่อีเมล พวกนี้ก็ถือว่าเป็น Micro Conversion ได้ ซึ่งเราสามารถตั้งค่ากับ Google Ads และ Google Tag Manager ได้เลย
2. กำหนดค่า Conversion Value ของแต่ละ Conversion ให้ไม่เท่ากัน ตามความสำคัญ
ต่อมาคือการตั้งค่า Conversion Value ซึ่งการตั้งค่าการให้ราคาของ Conversion จะแตกต่างจากแบบ E-Commerce ค่อนข้างมาก เพราะปกติในการตั้งค่า Conversion Value ของ E-Commerce นั้นมักจะแทนค่าด้วยมูลค่าของสินค้าที่ขายได้ เช่น ขายเสื้อได้ 1 ตัว ราคา 500 บาท Conversion Value ของการขายเสื้อ คือ 500 บาท
แต่ถ้าเป็นแคมเปญที่เน้น Lead การกำหนดค่า Conversion Value คือการให้ค่าแบบเป็นอัตนัยที่แทนค่าด้วยตัวเลขอย่างง่าย ๆ มากกว่า เช่นถ้าเราให้ค่า Conversion ไหนให้ Value สูง หมายความว่า Conversion นั้นมีคุณค่ามาก ยกตัวอย่างจากด้านบนเช่น Conversion การที่มีคนลงทะเบียน เราจะให้ค่า Conversion Value ที่ 100 บาท เพราะถือว่าเป็น Conversion ที่คนตั้งใจลงทะเบียนมา ได้รายชื่อมาก แต่ถ้าเป็น Conversion การคลิกเบอร์โทรในเว็บไซต์ และการคลิกที่อีเมล แสดงว่ามีความตั้งใจที่จะติดต่อ แต่ไม่สามารถแสดงได้จริง ๆ ว่าจะติดต่อกลับมาเมื่อไร หรือยังไม่ได้รายชื่อ ให้ค่า Conversion Value ที่ 50 บาท ส่วนสุดท้ายการคลิกที่ Social Media อื่น ๆ เช่น LINE OA, Facebook, Messenger เพื่อที่จะดูข้อมูลอื่น ๆ อาจจะให้ค่า Conversion Value ที่ 10 บาท น้อยกว่ากัน 10 เท่าของการที่คนลงทะเบียน เลยทำมาเป็นตารางการกำหนดค่า Conversion Value แบบง่าย ๆ ด้านล่างนี้
ประเภท Conversion | Conversion Value |
---|---|
Submit Form (ลงทะเบียนกรอกฟอร์ม) | 100 บาท |
Phone Click (คลิกที่เบอร์โทรในเว็บ) | 50 บาท |
Email Click (คลิกที่อีเมลในเว็บ) | 20 บาท |
Facebook Click (คลิกที่เฟซบุ๊กในเว็บ) | 10 บาท |
LINE Click (คลิกที่ไลน์ในเว็บ) | 10 บาท |
3. เริ่มใช้งาน Conversion ใหม่ที่กำหนดไว้ โดยทิ้งไว้รันตามปกติ 2 อาทิตย์ขึ้นไป
หลังจากตั้งค่า Micro Conversion และค่า Conversion Value เรียบร้อยแล้ว ก็ให้ใช้งาน Conversion ใหม่ เพิ่ม Conversion ในแคมเปญเดิมที่รันอยู่ โดยอาจจะยังไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน Bidding แต่อย่างใด เพราะว่าเนื่องจากตอนนี้เรายังมีค่า Conversion ที่ยังไม่หลากหลายมากนัก มักจะเป็นคอนเวอร์ชันหลักที่เราใช้มากนานแล้ว เพราะถ้าจะให้ดีจำเป็นที่จะต้องมี Conversion ที่หลากหลายก่อน เมื่อระบบมี Conversion และ Conversion Value ที่มากพอ ก็จะเป็นข้อมูลที่ AI ของ Google Ads สามารถนำไปประมวลผลต่อได้
4. วัดผลและปรับ Bidding เป็น Maximize Conversion Value ในแคมเปญที่เราต้องการ
เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ราว 14 วัน ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด แคมเปญของเราควรจะมี Conversion ที่มากขึ้นแล้ว และก็จะมี Conversion Value ขึ้นมาด้วย ตามที่เราตั้งค่าไว้ จากนั้นเราสามารถวัดผลได้ว่า Conversion ในช่วงที่ผ่านมามีเท่าไร และได้ Conversion Value เท่าไรบ้าง โดยสามารถดูแบบละเอียดแยกวัดแบบแยก Conversion Action ได้ที่ Report ของ Google Ads ได้เลย
เมื่อวัดผลเรียบร้อย ค่อยปรับ Bidding ตามที่ตัวเองต้องการซึ่งในวิธีนี้เราแนะนำให้ปรับเป็น Maximize Conversion Value เพื่อให้ได้ค่า Value สูงสุดจาก Conversion ซึ่งจะแตกต่างจากการ Bidding เป็น Maximize Conversion เพราะว่า การทำ Maximize Conversion จะทำให้เกิด Conversion สูงสุดซึ่งถ้าเรามี Conversion หลายแบบ ก็อาจจะเกิด Conversion แบบง่าย ๆ ยกตัวอย่างจากด้านบน เช่น การคลิกที่ Social Media ของเรา ตามที่เรากำหนดไว้มากกว่าการกรอกแบบฟอร์ม
แต่ถ้าเป็น Bidding รูปแบบ Maximize Conversion Value คือให้ได้ค่า Value ของ Conversion ที่สูงที่สุดตามที่เราเรียงลำดับความสำคัญเอาไว้ ถ้าเราให้ Value ของ Conversion กรอกฟอร์มสูงสุดคือ 100 บาท และถ้าเป็นการคลิกที่ Social Media ให้ค่า Value ที่ 10 บาท เมื่อเราปรับใช้ Bidding แบบ Maximize Conversion Value ก็จะพยายามหา Conversion ที่ได้ Value สูงมากเป็นอันดับต้น ๆ ส่วน Value ที่น้อย ก็ยังได้ Conversion อยู่ แต่ไม่เท่า Value สูง ๆ นั่นเอง
ทั้งหมดนี้เป็นการทำโฆษณาสำหรับ Lead ใน Google Ads ให้ได้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยใช้ Micro Conversion และ Bidding แบบ Maximize Conversion Value เพื่อปรับปรุงแคมเปญโดยจะได้ Lead ที่มากขึ้นและได้คุณภาพสูงขึ้นด้วย สามารถนำไปปรับใช้ตามสถานการณ์และแต่ละธุรกิจที่ต้องการ Lead ได้
ใครที่มีคำถามเกี่ยวกับ Digital Marketing หรือเกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ สามารถ Inbox สอบถามได้ที่ Facebook ของ Digital Break Time คำถามเด็ด ๆ ที่คิดว่ามีประโยชน์จะนำมาเขียนบอกเล่าให้กับคนอื่น ๆ ได้รู้ด้วย
ติดตามข่าวสาร บทความดี ๆ จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, Twitter, Line Official Account, Instagram
ธนาคาร เลิศสุดวิชัย x Digital Break Time