ธุรกิจ Digital Marketing เปลี่ยนจากฟรีแลนซ์และพนักงานประจำ เป็นทำธุรกิจคนเดียว คอนเทนต์นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือ Solopreneur ฉันนี่แหละประธานบริษัท! เมื่อนึกถึงธุรกิจที่ตัวเองทำอยู่คือ ธุรกิจ Digital Marketing เลยได้ข้อคิดมาเยอะ เลยนำมาเขียนเป็นคอนเทนต์ที่เริ่มทำธุรกิจคนเดียว Digital Marketing ไว้สำหรับคนที่ทำงานด้านนี้อยู่แล้ว และต้องการออกมาทำธุรกิจของตัวเอง
ธุรกิจ Digital Marketing เปลี่ยนจากฟรีแลนซ์และพนักงานประจำ เป็นทำธุรกิจคนเดียว จะเริ่มต้นอย่างไรดี
- ธุรกิจ Digital Marketing เป็นธุรกิจนำเสนอ แตกต่างจากฟรีแลนซ์ที่เป็นการรับคำสั่ง
- ไม่ทำแพ็คเกจสำเร็จรูป ดีไซน์แผนการตลาดตามความต้องการของลูกค้า
- ธุรกิจเริ่มคนเดียว แต่ต้องไม่ทำคนเดียว
- แยกกระเป๋าเงินส่วนตัวและธุรกิจออกจากกัน และอย่าลืมวางแผนภาษีด้วย
- สรุปข้อคิด จากการทำธุรกิจ Digital Marketing เปลี่ยนจากฟรีแลนซ์และพนักงานประจำ เป็นทำธุรกิจคนเดียว
ธุรกิจ Digital Marketing เป็นธุรกิจนำเสนอ แตกต่างจากฟรีแลนซ์ที่เป็นการรับคำสั่ง
เมื่อก่อนส่วนตัวก็เคยนิยามว่าตัวเองเป็นฟรีแลนซ์เหมือนกัน แต่พอได้อ่านนิยามของธุรกิจคนเดียว เรานี่ไม่ใช่ฟรีแลนซ์ แต่เรากำลังทำธุรกิจคนเดียวอยู่ ซึ่งธุรกิจคนเดียวนั้นเน้นการนำเสนอเป็นหลัก เราต้องทำแผนเสนอลูกค้า ต้องเจรจา ต้องไปพบลูกค้า ต้องมีการบรีฟจากลูกค้าว่าลูกค้าอยากได้อะไร ทำไมถึงอยากทำแบบนี้ มีปัญหาในการทำ Digital Marketing ก่อนหน้าไหม ทั้งหมดนี้อาจจะดูว่าเยอะจัง
ยกตัวอย่างจากประสบการณ์จริง มีลูกค้ามาสอบถามอยากทำ Google Ads ที่เน้น Search เราก็เลยถามต่อว่าทำไมถึงอยากทำแคมเปญนี้ เป็นเพราะอะไร มีงบเท่าไร สอบถามไปมาก็ได้ความว่าเห็นคนอื่นทำ ก็อยากทำบ้าง แต่ว่าเป็นสินค้าที่ราคาไม่สูงมาก เราเลยไม่ค่อยแนะนำช่องทางนี้เท่าไร เลยแนะนำไปว่าถ้าอยากทำช่องทางนี้จริง ๆ เน้นลูกค้าที่สั่งซื้อเยอะ ๆ ห้างร้านหรือบริษัท จะดีกว่า เพราะสั่งซื้อเยอะ จะได้รายได้สูงกว่า เหมาะมากกับการทำ Google Ads ที่เป็น Search
แตกต่างมาก ๆ จากการทำฟรีแลนซ์ เพราะว่าฟรีแลนซ์นั้นเป็นการทำงานแบบรับคำสั่ง ลูกค้าอยากได้อะไรก็ทำแบบนั้น ไม่ได้นำเสนอหรือแนะนำลูกค้า ซึ่งแตกต่างจากการทำธุรกิจคนเดียวที่เน้นนำเสนอ เป็นคู่คิดหรือพาร์ทเยอร์มากกว่า
ไม่ทำแพ็คเกจสำเร็จรูป ดีไซน์แผนการตลาดตามความต้องการของลูกค้า
หลายคนที่เคยจ้างทำ Digital Marketing ไม่ว่าจะเป็นเอเจนซีหรือจากฟรีแลนซ์เองก็ตาม มักจะเห็นรูปแบบการทำแพ็คเกจแบบตายตัวมาให้เลยว่าใช้เครื่องมือนี้ ราคาเริ่มต้นเท่าไร ซึ่งการทำแบบนี้มีข้อดีอยู่ที่ช่วยให้ลูกค้ารู้ค่าใช้จ่ายได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับคนที่มีลูกค้าติดต่อเข้ามามาก ๆ มีลูกจ้างหลายคน ทุกคนเห็นเป็นภาพเดียวกัน
แต่ทว่าจากประสบการณ์การทำ Digital Marketing ของตัวผู้เขียนเอง ลูกค้ามีความต้องการหลายแบบมาก ตั้งแต่งบน้อย งบมาก อยากทำหลายสินค้า มีหลายอย่างที่ต้องโฟกัส มีทั้งธุรกิจแบบ B2B, B2C ซึ่งเอาเข้าจริงไม่สามารถใช้แบบแผนการตลาดแบบแพ็คเกจได้เลย จำเป็นมาก ๆ ที่จะต้องออกแบบดีไซน์แผน Digital Marketing ให้เหมาะกับบริษัท สิ่งที่ลูกค้าต้องการ ให้เหมาะสมกับเครื่องมือและประเภทสินค้าที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นอย่างแปลกใจถ้าใครติดต่อมาทาง Digital Break Time อาจจะมีคำถามมกหน่อย เพื่อให้ได้รายละเอียดและเห็นภาพรวมที่ชัดเจน
ธุรกิจเริ่มคนเดียว แต่ต้องไม่ทำคนเดียว
สำหรับธุรกิจ Digital Marketing ที่ตัวเองได้เริ่มต้นขึ้นมานั้น เริ่มจากคนเดียวเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการทำคอนเทนต์ เริ่มทำเว็บไซต์ครั้งแรก ทำรูปภาพประกอบบทความ ทำ Podcast รวมไปถึงงานต่าง ๆ ที่ต้องไปพบลูกค้า วางแผน รันโฆษณาให้ได้ผลลัพธ์ต่าง ๆ ทั้งหมดนี้ทำคอนเดียวดูเหมือนเยอะมาก ในช่วงแรกก็ต้องทำคนเดียวจริง ๆ แต่พอเมื่อธุรกิจเริ่มอยู่ตัว มีรายได้ระดับหนึ่ง เราไม่ทำเป็นต้องทำงานคนเดียวทั้งหมด
แนะนำว่าเราควรจะสร้างทีมของเราขึ้นมา ทีมในที่นี้ไม่ใช่การจ้างลูกจ้าง แต่เป็นคนที่พร้อมจะทำงานให้เราโดยได้รับค่าจ้างเมื่องานสำเร็จ ซึ่งบุคคลเหล่านั้นอาจจะเป็นคนที่เคยทำงานด้วยกันมาก่อน อดีตเพื่อนร่วมงาน ที่เห็นแล้วว่ามีฝีมือดี ก็สามารถช่วยกระจายงานให้ได้ เพราะงานหลายอย่างไม่จำเป็นต้องทำคนเดียวทั้งหมด เพียงแต่เราทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพของงานว่าได้มาตรฐานตามที่เราต้องการไหม
การทำธุรกิจด้าน Digital Marketing มักจะเป็นจากการเป็น Specialist ทางด้านใดด้านหนึ่งมาก่อน (ส่วนตัวเองก็เป็นเช่นนั้น) แต่เมื่อเรารวมทีมขึ้นมาได้ก็จะกลายเป็น Specialist หลาย ๆ คนที่รวมตัวกันกลายเป็น Generalist ที่สามารถทำงานได้หลายอย่างด้วย
แยกกระเป๋าเงินส่วนตัวและธุรกิจออกจากกัน และอย่าลืมวางแผนภาษีด้วย
สิ่งที่เป็นพื้นฐานของการทำธุรกิจคือเรื่องการเงิน การแยกกระเป๋าเงินส่วนตัวกับกระเป๋าเงินทางธุรกิจออกจากกันต่างหากเลยจะดีมาก ๆ เริ่มทำได้แค่แยกบัญชีออกมาขาดออกจากกัน ถึงแม้คุณจะไม่เริ่มจดหรือจัดตั้งบริษัทก็ทำได้ทันที เมื่อเรารับงานให้ใช้บัญชีที่ไว้รับงานโดยเฉพาะรับเงิน และแบ่งค่าใช้จ่ายส่วนตัว หรือจะตั้งเป็นเงินเดือนเพื่อโอนมาไว้ที่บัญชีส่วนตัวเลยก็ได้ จากนี้ก็จะง่ายมาก เพราะการกินใช้ส่วนตัว ก็จะใช้บัญชีส่วนตัวเป็นหลัก ส่วนบัญชีธุรกิจก็จะใช้จ่ายกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเท่านั้น เช่นค่าจ้างของเราเอง ค่าจ้างงานอื่น ๆ การซื้อโฆษณาบางส่วน เรื่องพวกนี้จะทำให้เห็นเลยว่า ธุรกิจของเรามีรายได้เท่าไร และมีรายจ่ายเท่าไร มีกระแสเงินสดเป็นบวกหรือไม่ ใครที่แอดวานซ์ไปอีกขั้นอาจจะต้องทำรายรับรายจ่ายเพิ่มเข้าไปด้วยก็ได้
แล้วก็อย่าลืมวางแผนภาษี เพราะภาษีอยู่รอบตัวเรา ถ้าเราเป็นบุคคลธรรมดา และต้องดีลงานกับบริษัทเป็นหลัก ไม่สามารถหลีกหนีการหักภาษี ณ ที่จ่าย ไว้ได้เลย ส่วนมากสายงานนี้จะหักอยู่ที่ 3% และเมื่อถึงช่วงต้นปีที่ต้องยื่นภาษี ก็ควรจะเก็บทวิ 50 เอาไว้เป็นหลักฐานทุกครั้งที่เราได้รับเงินและมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย อะไรที่ช่วยลดหย่อนภาษี ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต กองทุน SSF, RMF สามารถซื้อไว้เพื่อลดหย่อนได้ และเมื่อถึงจุดหนึ่งเมื่อรายได้เรามากพอ อาจจะต้องคิดที่จะต้องจัดตั้งบริษัทหรือไม่ค่อยคิดกันอีกที
สรุปข้อคิด จากการทำธุรกิจ Digital Marketing เปลี่ยนจากฟรีแลนซ์และพนักงานประจำ เป็นทำธุรกิจคนเดียว
สิ่งที่เราได้รับหลังจากเริ่มทำธุรกิจของตัวเองคนเดียวนั้นมีค่ามาก ๆ ทั้งคนที่ทำงานด้วย ลูกค้าที่ดี มีเวลาบ้างบางส่วน รายได้ที่มากขึ้น ถึงแม้งานจะเยอะขึ้นก็ตาม แต่รู้สึกว่าสิ่งที่ตัดสินใจมาแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเป็นสิ่งที่ดีเสมอ สุดท้ายนี้ สำหรับใครที่ทำงานในสาย Digital Marketing และมีความชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต้องการหาลู่ทางออกมาเริ่มต้นทำธุรกิจคนเดียวเอง ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนในสายงาน Digital Marketing ด้วยครับ
ใครที่มีคำถามเกี่ยวกับ Digital Marketing หรือเกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ สามารถ Inbox สอบถามได้ที่ Facebook ของ Digital Break Time คำถามเด็ด ๆ ที่คิดว่ามีประโยชน์จะนำมาเขียนบอกเล่าให้กับคนอื่น ๆ ได้รู้ด้วย
ติดตามเรื่องราว Digital Marketing จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, Twitter, Line Official Account, Instagram, Spotify, YouTube, Apple Podcast
ธนาคาร เลิศสุดวิชัย x Digital Break Time