AOV คืออะไร สำคัญอย่างไร หนึ่งในสิ่งที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ควรรู้จัก และยิ่งไปกว่านั้นคือควรรู้เทคนิคเพิ่ม AOV เพราะการเข้าใจ AOV (Average Order Value) หรือยอดขายเฉลี่ยต่อออเดอร์เป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของธุรกิจและสามารถเพิ่มรายได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยการหาลูกค้าใหม่เพียงอย่างเดียว หากสามารถ เพิ่ม AOV ได้ ร้านของคุณจะสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับความหมายของ AOV อย่างละเอียด พร้อมแชร์เทคนิคดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณเพิ่มยอดขายเฉลี่ยต่อออเดอร์ได้จริง
ทำความรู้จัก AOV พร้อมเทคนิคเพิ่ม AOV สำหรับร้านออนไลน์
AOV คืออะไร?
AOV ย่อมาจาก Average Order Value แปลว่า “ยอดขายเฉลี่ยต่อคำสั่งซื้อ 1 ครั้ง” พูดง่าย ๆ ก็คือ เวลาเราขายสินค้าได้ 1 ครั้ง เราอยากรู้ว่าโดยเฉลี่ยแล้ว ลูกค้าซื้อของจากร้านเรามูลค่าเท่าไหร่ต่อครั้ง
เช่น มียอดขายรวม 5,000 บาท และขายได้ 10 Orders (คำสั่งซื้อ) AOV จะเท่ากับ 5,000 ÷ 10 = 500 บาท นั่นแปลว่า ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าจากร้านของคุณครั้งละ 500 บาทโดยเฉลี่ย
ทำไม AOV ถึงสำคัญสำหรับร้านค้าออนไลน์?

- เป็นอีกหนึ่งวิธีในการเพิ่มรายได้ ไม่ต้องอาศัยการหาลูกค้าใหม่อย่างเดียว
การหาลูกค้าใหม่ต้องใช้ต้นทุนสูง ทั้งในเรื่องค่าโฆษณา การทำ SEO การจัดโปรโมชั่น และการสร้างคอนเทนต์ แต่การเพิ่ม AOV ช่วยให้ลูกค้าไม่ว่าจะเป็นลูกค้าใหม่หรือเก่า ใช้จ่ายมากขึ้นในแต่ละครั้งด้วยวิธีที่ประหยัดงบและเวลามากกว่า แต่ทั้งนี้ การเพิ่ม AOV ไม่ได้หมายความว่าเราจะละเลยการหาลูกค้าใหม่ แต่ควรใช้ทั้งสองกลยุทธ์ควบคู่กันเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในระยะยาว
- ช่วยลดต้นทุนต่อการขาย
เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าในปริมาณมากขึ้นต่อหนึ่งออเดอร์ ค่าใช้จ่ายบางอย่าง เช่น ค่ากล่องแพ็กของ ค่าขนส่ง และค่าแรงแพ็กของต่อหน่วย จะถูกเฉลี่ยต่ำลง เช่น แทนที่จะต้องแพ็ก 3 กล่องเล็ก หากลูกค้าซื้อรวมกันในกล่องเดียว ก็ลดต้นทุนและแรงงานได้ทันที ทำให้กำไรต่อการขายหนึ่งครั้งสูงขึ้น
- ทำให้ค่าโฆษณาต่อยอดขาย (ROAS) ดีขึ้น
ROAS (Return on Ad Spend) คือการวัดว่าค่าโฆษณาที่ใช้ไปสร้างยอดขายได้มากน้อยแค่ไหน หากลูกค้าซื้อสินค้าในออเดอร์เดียวกันมากขึ้น โดยที่ต้นทุนโฆษณาเท่าเดิม นั่นหมายความว่า ROAS ของร้านจะดีขึ้นทันที เช่น จากเดิมยิงแอดได้ยอดขาย 500 บาท หาก AOV เพิ่มเป็น 800 บาทในออเดอร์เดียวกัน ก็เหมือนได้ยอดขายมากขึ้นโดยไม่ต้องจ่ายค่าแอดเพิ่ม
- สร้างความมั่นคงให้ธุรกิจในระยะยาว
ธุรกิจที่พึ่งพาแต่การหาลูกค้าใหม่อย่างเดียวมักเสี่ยงต่อรายได้ที่ไม่แน่นอน เพราะต้นทุนการตลาดมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ การเพิ่ม AOV ช่วยให้ร้านมีรายได้ต่อคำสั่งซื้อสูงขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ทำให้วางแผนธุรกิจได้ง่ายขึ้น มีทุนหมุนเวียนมากขึ้น และสามารถนำกำไรไปพัฒนาธุรกิจต่อได้อย่างมั่นคง
AOV คืออะไร แล้วจะ เพิ่ม AOV ได้ยังไง?

หลังจากที่รู้แล้วว่า AOV คืออะไร สำคัญอย่างไร ลองมาดู 7 วิธีเพิ่ม AOV ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้กับร้านคุณได้จริง
1. จัดโปรโมชั่น Bundle Deal ยิ่งซื้อยิ่งคุ้ม
หนึ่งในวิธีที่ได้ผลดีในการเพิ่ม AOV คือการจัดโปรโมชั่นแบบ Bundle Deal หรือการจับสินค้าหลาย ๆ ชิ้นมาขายรวมกันในราคาพิเศษ การทำแบบนี้ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้ารู้สึกว่าการซื้อสินค้าในจำนวนมากกว่า 1 ชิ้นนั้น “คุ้มค่า” มากกว่าการซื้อเพียงชิ้นเดียว
เช่น หากร้านคุณขายเครื่องสำอาง อาจจัดโปรโมชั่นซื้อ 2 ชิ้นลด 10% หรือซื้อครบ 3 ชิ้นรับส่วนลดทันที 20% ลูกค้าหลายคนมักจะไม่อยากพลาดข้อเสนอดี ๆ จึงตัดสินใจหยิบสินค้าเพิ่มเพื่อให้ครบตามเงื่อนไข นอกจากนี้การทำ Bundle แบบแถมของ เช่น “ซื้อครบเซตแถมลิปสติก” ยังเป็นอีกทางเลือกที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้ของแถมฟรี ลูกค้าพึงพอใจแถมเรายังได้ยอดเฉลี่ยต่อบิลสูงขึ้นด้วย
2. ขายสินค้าแพ็กใหญ่ขึ้น ซื้อครั้งเดียวใช้ได้นาน ๆ
การขายสินค้าขนาดใหญ่ขึ้นหรือจำนวนมากขึ้นในราคาที่คุ้มค่ากว่า เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ได้ผลดีเช่นกัน เพราะลูกค้าหลายคนยอมจ่ายเงินมากขึ้นเพราะขี้เกียจมาซื้อซ้ำบ่อย ๆ ตัวอย่างเช่น หากคุณขายน้ำดื่มขวดเดียวปกติ อาจเปลี่ยนเป็นขายแพ็ก 6 ขวดในราคาพิเศษ หรือจากที่เคยขายสบู่ก้อนเดียว อาจทำเซต 12 ก้อนพร้อมส่วนลดเฉพาะแพ็กพิเศษ การขายแบบนี้ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้สต็อกสินค้าไว้ใช้ล่วงหน้าแบบประหยัดกว่า ร้านค้าก็ได้ยอดขายต่อครั้งที่สูงขึ้นแบบเห็นผลทันที นอกจากนี้ยังช่วยลดต้นทุนค่าจัดส่งต่อหน่วยได้อีกด้วย
3. จัดสินค้าเป็น Set ขายของคู่กันไปเลย
บางครั้งลูกค้าตั้งใจจะซื้อแค่สินค้าชิ้นเดียว แต่หากมีการเสนอขายสินค้าที่เกี่ยวข้องหรือจำเป็นต้องใช้คู่กัน ก็มีโอกาสสูงมากที่ลูกค้าจะตัดสินใจซื้อเพิ่มโดยไม่ลังเล เช่น หากคุณขายโทรศัพท์มือถือ อาจเสนอขายเคสและฟิล์มกันรอยไปพร้อมกันในชุดเดียว หรือถ้าคุณขายกล้องถ่ายรูป ก็สามารถแนะนำเมมโมรี่การ์ดที่เหมาะสมกับรุ่นนั้น ๆ เพิ่มเข้าไป การทำแบบนี้ไม่ใช่แค่เราที่ได้เพิ่มยอดขาย แต่ลูกค้าก็รู้สึกว่าไม่ต้องยุ่งยากหรือเสียเวลาไปซื้อสินค้าเสริมเอง วินวินทั้งคู่
4. ตั้งเงื่อนไขส่วนลดขั้นต่ำ กระตุ้นให้ซื้อเยอะขึ้น
การตั้งเงื่อนไขส่วนลดตามยอดซื้อ เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่กระตุ้นให้ลูกค้าอยากซื้อสินค้าเพิ่ม ยกตัวอย่างเช่น คุณอาจกำหนดเงื่อนไขว่า “ลด 100 บาทเมื่อซื้อครบ 1,000 บาท” หรือ “รับคูปองส่วนลด 10% เมื่อซื้อครบ 1,500 บาท” พอเห็นโปรโมชั่นแบบนี้ ลูกค้าที่อาจตั้งใจซื้อแค่ 700-800 บาท ก็มีแนวโน้มจะหยิบของเพิ่มเพื่อให้ถึงยอดที่กำหนด เพราะเขาจะรู้สึกว่าเสียโอกาสถ้าไม่ซื้อเพิ่มนิดเดียวเพื่อรับส่วนลด
5. เสนอ Add-on เล็ก ๆ ตอนจ่ายเงิน
อีกวิธีที่หลายร้านทำแล้วเห็นผล คือการเสนอสินค้าเสริมเล็ก ๆ ที่มีราคาไม่สูงมากตอนที่ลูกค้ากำลังจะจ่ายเงิน ตัวอย่างเช่น เสนอขายฟิล์มกันรอยในราคา 99 บาท หรือถุงผ้าลดโลกร้อนในราคา 59 บาท ลูกค้าส่วนใหญ่เมื่อตัดสินใจซื้อของหลักได้แล้ว มักจะยินดีเพิ่มเงินอีกนิดหน่อยสำหรับของเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ เพราะคิดว่าไหน ๆ ก็ซื้อแล้ว การเพิ่มตัวเลือกเล็ก ๆ แบบนี้ช่วยดันยอด AOV ขึ้นมาได้โดยไม่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าต้องใช้เงินเยอะขึ้นมากมาย
6. ใช้เทคนิค Up selling อย่างชาญฉลาด
Up selling คือการเสนอสินค้าที่มีราคาสูงกว่าหรือคุณภาพดีกว่าที่ลูกค้าเล็งไว้ เช่น จากที่ลูกค้าดูหูฟังรุ่นธรรมดาอยู่ ก็แนะนำรุ่นโปรที่มีเสียงดีกว่าในราคาเพิ่มอีกเพียงเล็กน้อย การทำ Up selling ที่ดี ควรเสนออย่างเป็นธรรมชาติ และเน้นประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ ไม่ใช่แค่การขายแพงขึ้น การใช้เทคนิคนี้อย่างเหมาะสมจะช่วยเพิ่มยอดขายเฉลี่ยต่อบิลได้โดยที่ลูกค้าไม่รู้สึกถูกยัดเยียดหรือรำคาญ
7. เสนอการอัปเกรดบริการเสริมพิเศษ
การเพิ่มบริการเสริมแบบมีค่าใช้จ่าย เช่น บริการห่อของขวัญ การรับประกันเพิ่มปีที่ 2 หรือบริการติดตั้งพิเศษ เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ช่วยเพิ่มรายได้ต่อออเดอร์ได้ดี ลูกค้าหลายคนยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อความสะดวกหรือเพื่อความสบายใจว่ามีการรับประกันที่นานขึ้น การเสนอแพ็กเกจเสริมเหล่านี้ทำให้คุณสามารถเพิ่มมูลค่าของแต่ละบิลได้โดยที่ไม่ได้เพิ่มต้นทุนสินค้าจริงมากนักพร้อมกับได้ผลลัพธ์จริงเรื่องยอดขาย
สรุป AOV คืออะไร อยากขายดี ต้องใส่ใจ
AOV หรือ Average Order Value คือค่าที่บอกว่าลูกค้าแต่ละคนใช้จ่ายกับร้านค้าของเรามากน้อยแค่ไหนในแต่ละคำสั่งซื้อ การเพิ่ม AOV มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันยอดขายรวม เพิ่มกำไรต่อออเดอร์ ทำให้การใช้จ่ายค่าโฆษณาคุ้มค่าขึ้น และยังช่วยลดต้นทุนการจัดส่งต่อหน่วยได้อีกด้วย
ในยุคที่การแข่งขันในตลาดออนไลน์ดุเดือด การหาลูกค้าใหม่อย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป การกระตุ้นให้ลูกค้าเดิมใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในแต่ละครั้ง คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน ลองลงมือทำด้วย 7 เทคนิคที่เรารวมมาให้ เลือกใช้วิธีที่เหมาะกับร้านและสินค้า/บริการของคุณ แล้วคุณจะเริ่มเห็นพัฒนาการของยอดขายได้
ติดตามเรื่องราว Digital Marketing จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, X, Line Official Account, Instagram, Spotify, YouTube, Apple Podcast