วัดผล Content การทำคอนเทนต์โดยไม่มีการวัดผล ก็เหมือนยิงปืนแบบไม่เล็งเป้า เราอาจไม่รู้เลยว่าคอนเทนต์ที่สร้างไปส่งผลลัพธ์จริงต่อธุรกิจหรือไม่ การ วัดผล Content จึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจว่าคอนเทนต์ทำงานอย่างไร มีจุดแข็งจุดอ่อนตรงไหน และสามารถนำข้อมูลไปปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดให้ตรงกับเป้าหมายได้มากขึ้น และวันนี้ผมจึงขอหยิบยกเรื่องของการวัดผล Content มาเล่าให้ฟังครับ
วัดผล Content ต้องทำอย่างไร? วัดจากอะไรได้บ้าง และทำไมต้องวัดผลคอนเทนต์
ทำไมการ วัดผล Content ถึงสำคัญ
สร้างคอนเทนต์โดยไม่มีการวัดผล = ไม่รู้ว่าได้ผลจริงหรือไม่
การวัดผลจะทำให้เข้าใจพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย รู้ว่าคอนเทนต์แบบไหนที่พวกเขาชอบ เวลาไหนที่มีการตอบสนองดีที่สุด และประเด็นอะไรที่สร้าง Engagement สูง ซึ่งถ้าไม่มีการวัดผลคอนเทนต์ที่ทำเลย ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า คอนเทนต์นั้นๆ ส่งผลอะไรต่อแบรนด์บ้าง ทั้งในแง่ดีและไม่ดี
ช่วยปรับกลยุทธ์การตลาดให้แม่นยำขึ้น
ข้อมูลจากการวัดผลจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการปรับแต่งกลยุทธ์การตลาด เมื่อรู้ว่าคอนเทนต์ประเภทไหนได้ผลดี ก็สามารถลงทุนไปในทิศทางนั้น ๆ ได้มากขึ้น และลดการสูญเสียจากการลงทุนในคอนเทนต์ที่ไม่ได้ผล ตัวอย่างเช่น หากพบว่าคอนเทนต์วิดีโอได้รับการตอบสนองดีกว่าโพสต์รูปภาพ ก็ควรเพิ่มสัดส่วนของวิดีโอในแผนคอนเทนต์ หรือหากพบว่าการโพสต์ในช่วงเช้าได้ Engagement ดีกว่าตอนเย็น ก็ควรปรับเวลาการโพสต์ตามนั้น
ใช้ข้อมูลมาปรับปรุงคอนเทนต์ให้ตรงกับเป้าหมายธุรกิจ
การวัดผลไม่ได้มีไว้เพื่อติดตามยอดไลก์หรือคอมเมนต์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการเชื่อมโยงคอนเทนต์เข้ากับเป้าหมายทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มการรับรู้แบรนด์ การสร้าง Lead หรือการเพิ่มยอดขาย เมื่อมีข้อมูลที่ชัดเจน ก็จะสามารถปรับปรุงคอนเทนต์ให้สอดคล้องกับเป้าหมายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนรูปแบบเนื้อหา การปรับ Call-to-Action หรือการเลือกช่องทางการเผยแพร่ที่เหมาะสม
วิธีวัดผล Content เบื้องต้น

การวัดผลคอนเทนต์ เชิงปริมาณ
การวัดผลเชิงปริมาณเป็นการมองตัวเลขที่วัดได้ง่าย และสามารถเปรียบเทียบได้อย่างชัดเจน โดยมีตัวชี้วัดหลักๆ ที่เรามักใช้คือ
- Reach – แสดงถึงขอบเขตการเข้าถึงของคอนเทนต์ หากมี Reach สูง แสดงว่าคอนเทนต์ของคุณเข้าถึงผู้คนได้มาก แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสนใจหรือมีการกระทำใด ๆ ต่อไป
- View / Impression – เป็นจำนวนครั้งที่คอนเทนต์ปรากฏบนหน้าจอของผู้ใช้ ตัวเลขนี้จะสูงกว่า Reach เพราะคนหนึ่งคนอาจเห็นคอนเทนต์เดียวกันหลายครั้ง
- Engagement – เช่น ไลก์ แชร์ คอมเมนต์ เป็นตัวแสดงระดับการมีส่วนร่วมของผู้ชม หาก Engagement สูง แสดงว่าคอนเทนต์สามารถดึงดูดความสนใจและกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองได้ดี
- Click-through Rate (CTR) – คิดจากจำนวนคลิกหารด้วยจำนวน Impression คูณด้วย 100 ตัวชี้วัดนี้สำคัญมากเพราะบอกว่าคอนเทนต์สามารถกระตุ้นให้คนดำเนินการต่อได้มากน้อยแค่ไหน
การวัดผลคอนเทนต์ เชิงคุณภาพ
แม้ตัวเลขจะสำคัญ แต่การวัดผลเชิงคุณภาพก็ไม่ควรมองข้าม เพราะบางครั้งคอนเทนต์ที่มี Engagement ต่ำกว่า แต่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้อง อาจสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้ดีกว่า
- คุณภาพของผู้ติดตาม – การมีผู้ติดตาม 10,000 คนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย ไม่ดีเท่ากับการมีผู้ติดตาม 1,000 คนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง ดังนั้นควรวิเคราะห์ลักษณะผู้ติดตามให้ละเอียด
- ระดับการมีส่วนร่วมเชิงลึก – เช่น คอมเมนต์ที่มีเนื้อหา การแชร์ด้วยความสมัครใจ การนำคอนเทนต์ไปใช้จริง หรือการสร้าง User-generated Content ตัวชี้วัดเหล่านี้แสดงถึงการมีส่วนร่วมที่มีคุณค่ามากกว่าการกดไลก์หรือแชร์แบบผิวเผิน
- ความน่าเชื่อถือและการจดจำแบรนด์ – วัดจากคุณภาพของการกล่าวถึงแบรนด์ การจดจำ Slogan หรือสีสันของแบรนด์ รวมถึงการที่ลูกค้านำเสนอแบรนด์ให้กับคนอื่น ๆ
สามารถวัดผล Content แบบอื่นๆ ได้ไหม?
วัดผลคอนเทนต์เพื่อสร้าง Lead
สำหรับธุรกิจที่เน้นการสร้าง Lead การวัดผลจะเน้นไปที่การแปลงผู้ชมให้เป็นข้อมูลติดต่อที่มีคุณภาพ เช่น
- จำนวนคนที่กรอกฟอร์ม / ลงทะเบียน: วัดจากจำนวนคนที่ยินดีให้ข้อมูลเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติม หรือเข้าร่วมกิจกรรม
- ค่า Conversion Rate จากคอนเทนต์: คิดจากจำนวน Lead ที่ได้รับหารด้วยจำนวนคนที่เห็นคอนเทนต์ คูณด้วย 100 ยิ่งสูงแสดงว่าคอนเทนต์มีประสิทธิภาพในการโน้มน้าวใจดี
- ค่า Cost per Lead (CPL): คิดจากค่าใช้จ่ายในการสร้างคอนเทนต์หารด้วยจำนวน Lead ที่ได้รับ ช่วยให้ทราบว่าการลงทุนในคอนเทนต์คุ้มค่าหรือไม่
วัดผลคอนเทนต์กับยอดขาย
การวัดผลในระดับสูงสุดคือการเชื่อมโยงคอนเทนต์เข้ากับยอดขายจริง ซึ่งอาจท้าทายเพราะลูกค้าส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อทันทีหลังจากเห็นคอนเทนต์
- Attribution Model: เป็นการติดตามว่าคอนเทนต์มีส่วนช่วยปิดการขายอย่างไร อาจเป็นการสร้างการรับรู้ในจุดเริ่มต้น การให้ข้อมูลระหว่างการตัดสินใจ หรือการกระตุ้นให้ตัดสินใจซื้อในท้ายที่สุด
- Revenue Generated from Content: รายได้ที่สามารถติดตามได้ว่าเกิดจากคอนเทนต์โดยตรง อาจผ่านรหัสส่วนลดที่ระบุไว้ในคอนเทนต์ หรือการติดตาม Traffic ที่มาจากคอนเทนต์และแปลงเป็นการซื้อ
- ROI ของคอนเทนต์: คิดจากรายได้ที่เกิดขึ้นลบด้วยต้นทุนการสร้างคอนเทนต์ หารด้วยต้นทุน คูณด้วย 100 ยิ่งสูงแสดงว่าการลงทุนคุ้มค่า
วิธีการวัดผล Content อย่างมีประสิทธิภาพ

ตั้ง KPI ที่ชัดเจนก่อนเริ่มแคมเปญ
การวัดผลที่ดีต้องเริ่มต้นจากการกำหนด KPI ที่ชัดเจนก่อนเริ่มสร้างคอนเทนต์ KPI ต้องสอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจและสามารถวัดได้จริง
ตัวอย่าง KPI:
- เพิ่มการรับรู้แบรนด์: เพิ่ม Reach 30% ในเวลา 3 เดือน
- สร้าง Lead: ได้รับ Lead 50 ราย/เดือน จากคอนเทนต์
- เพิ่มยอดขาย: เพิ่มยอดขาย 20% จากการ Traffic ที่มาจากคอนเทนต์
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ที่เหมาะสม
การเลือกเครื่องมือวิเคราะห์ให้เหมาะกับประเภทคอนเทนต์และช่องทางการเผยแพร่เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ควรใช้เครื่องมือเดียวสำหรับทุกสิ่ง แต่ควรใช้หลายเครื่องมือร่วมกันเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน เช่น Google Analytics เหมาะสำหรับวัด Traffic เว็บไซต์ , Social Media Insights เหมาะสำหรับ Social Content ส่วน Marketing Automation Tools ต่างๆ เหมาะสำหรับติดตาม Lead Journey
การเก็บข้อมูลและวิเคราะห์อย่างสม่ำเสมอ
การวิเคราะห์ครั้งเดียวไม่เพียงพอ ควรมีการติดตามและวิเคราะห์อย่างสม่ำเสมอ ทั้งแบบรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน เพื่อจับเทรนด์และปรับกลยุทธ์ได้ทัน
การปรับปรุง Content ตามผลวัดที่ได้
ข้อมูลที่ดีที่สุดคือข้อมูลที่นำไปใช้ได้จริง เมื่อได้ผลการวัดแล้ว ต้องนำมาปรับปรุงคอนเทนต์ให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับรูปแบบ เปลี่ยนเวลาการโพสต์ หรือแก้ไขข้อความให้ดึงดูดใจมากขึ้น
เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผล Content
Google Analytics วัด Traffic และ Conversion
Google Analytics เป็นเครื่องมือฟรีในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ สามารถติดตามได้ว่าผู้คนมาจากคอนเทนต์ไหน ใช้เวลาบนเว็บไซต์นานแค่ไหน และดำเนินการอะไรบ้าง
Social Media Insights ของแพลตฟอร์ม (Facebook, Instagram, TikTok)
แต่ละแพลตฟอร์มจะมีเครื่องมือวิเคราะห์ในตัว ที่ให้ข้อมูลเฉพาะเจาะจงสำหรับช่องทางนั้น ๆ เช่น Facebook Insights จะให้ข้อมูลเรื่อง Demographic ของผู้ติดตาม เวลาที่ Online และการมีส่วนร่วมในแต่ละโพสต์ , Instagram Insights เน้นไปที่การวิเคราะห์รูปภาพและสตอรี่ ส่วน TikTok Analytics จะเน้นเรื่อง Video Performance และ Trending hashtag
Marketing Automation Tools
เครื่องมือ Marketing Automation Tools เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการติดตาม Lead Journey ตั้งแต่การเป็นผู้ติดตามไปจนถึงการเป็นลูกค้า สามารถวิเคราะห์ได้ว่าคอนเทนต์ไหนมีส่วนช่วยในการปิดการขาย และส่วนมากก็มีข้อมูลครบถ้วน ทำให้การทำงานประหยัดเวลาได้มาก แต่ก็ต้องบอกว่าไม่ได้จำเป็นสำหรับทุกธุรกิจ ส่วนมากจะเห็นในธุรกิจใหญ่ๆ มากกว่า
สรุป การวัดผล Content อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยสรุปแล้ว การวัดผล Content ให้มีประสิทธิภาพ ต้องผสมผสานหลายๆ ประเด็นเข้าด้วยกัน ตั้งแต่การตั้งเป้าหมายวัดผลให้ชัดเจน, การเลือกตัวชี้วัดที่เหมาะไม่ว่าจะเป็นประเภทตัวชี้วัดหรือเครื่องมือที่ใช้วัดผล และที่สำคัญที่สุด คือต้องนำข้อมูลที่ได้มาปรับใช้ในการทำคอนเทนต์เพื่อให้การทำคอนเทนต์ ตอบโจทย์และตรงกับเป้าหมายที่แบรนด์กำลังต้องการ
ติดตามเรื่องราว Digital Marketing จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, X, Line Official Account, Instagram, Spotify, YouTube, Apple Podcast