เพิ่ม Conversion Rate ในเว็บไซต์ จะสามารถทำวิธีอะไรได้บ้าง หลังจากที่ทำ Content Marketing หรือทำ Topic Cluster กันมาแล้ว แต่ Conversion Rate ที่ได้กลับมานั้นมีค่อนข้างน้อย จะทำอย่างไรได้บ้าง ทาง Digital Break Time เลยจะมาเสนอวิธีที่ช่วยเพิ่ม Conversion Rate ที่ใช้งานได้จริง สามารถทำได้เลย ไม่ยุ่งยากอีกด้วย
เรามารู้จักกับ Conversion Rate กันก่อน Conversion Rate คืออัตราร้อยละหรือเปอร์เซ็นต์ที่เราได้ Conversion กลับมา มีสูตรในการคำนวณอยู่ว่า (Conversion/Click)*100 = Conversion Rate หรือ (Conversion/Visit)*100 = Conversion Rate ขึ้นอยู่กับว่า Conversion Rate นั้นคิดจากบนแพลตฟอร์มไหน
เพิ่ม Conversion Rate ในเว็บไซต์ ด้วย 3 วิธีการง่าย ๆ แต่ได้ผลจริง
เพิ่มปุ่ม Call to Action ช่วยเพิ่ม Conversion Rate ได้จริง โดยเฉพาะในหน้า Blog และคอนเทนต์ในเว็บ
อาจจะดูเหมือนคลิเช่ หลายคนแนะนำให้ทำ แต่เชื่อเถอะ มันเป็นวิธีที่ได้ผลจริง เห็นผลง่าย แถมทำงานสุด ๆ เพียงแค่คนทำปุ่มต่าง ๆ เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นปุ่มโทร ปุ่มติดต่อทาง LINE OA ปุ่มติดต่อทาง Messenger หรือถ้าใครมีกลุ่มเป้าหมายเป็นต่างชาติเยอะ จะเพิ่ม WhatsApp ไปก็ได้ หรือถ้าต้องการได้ข้อมูลที่แน่นอน อาจแนบแบบฟอร์มติดต่อเข้าไปด้วยก็ได้ แนะนำให้ทำเลย และเพิ่มในทุก ๆ หน้าของหน้าที่เป็นบล็อกและคอนเทนต์ในเว็บไซต์ เนื่องจากว่างถ้าเรามีการทำ Content Marketing สม่ำเสมอ ทำ SEO ที่ดี สิ่งแรกที่คนจะเข้ามาในเว็บเราไม่ใช่หน้าแรกหรือหน้า Home แต่เป็นหน้า Content นั้น ๆ ต่างหาก เหมือนเรามีข้อมูลให้ลูกค้าแล้ว ก็ต้องเสิร์ฟวิธีการติดต่อให้ง่าย ๆ ด้วยเลย เพิ่ม Conversion Rate ได้ชัดเจนแน่นอน
ถ้าจะเอาให้เป๊ะขึ้นไปอีกแบบวัด Conversion กันเลย ก็แนะนำใครที่ใช้ Google Analytics อยู่แล้วสามารถสร้าง Event และ Conversion มาได้ว่าคนคลิกที่ปุ่มนี้เท่าไร หรือลงทะเบียนกี่คน เท่านี้ก็จะเห็นเลยว่าคนคลิกมาจากหน้าคอนเทนต์เท่าไร
ถ้าจะดูตัวอย่างว่าจะติดแบบไหนดี ไม่เยอะไป หรือไม่มากไป ก็ดูที่คอนเทนต์ที่คุณอ่านอยู่นี่ก็ได้ มีการติด Call to Action อยู่ด้านท้ายของบทความ และมีเกือบทุกบทความ เพื่อให้ลูกค้าสามารถติดต่อเราได้ง่ายขึ้น หรือสามารถอีกอีกเว็บไซต์ของผู้เขียนเองก็ได้ rabbitor.net จะเห็นว่าติด Call to Action มากกว่าปกติ เพราะเป็นบทความขนาดยาว แต่ไม่ได้รกมาก เอาตามความเหมาะสม
ยกตัวอย่างจากเหตุการณ์จริง ที่เพิ่ม Conversion Rate ได้จริง เมื่อประมาณช่วงเดือน มิถุนายน 2023 ที่ผ่านมา มีคนโทรเข้าเบอร์ไว้สำหรับงาน Digital Break Time เข้ามาเยอะมาก ๆ ตกวันละ 2 สาย แต่ละสายคือสอบถามเรื่อง LINE OA ในตอนแรกผู้เขียนก็ได้ให้คำปรึกษาไปตามปกติ แต่มีสายหนึ่งโทรเข้ามาแล้วนึกว่า เบอร์โทรของเราเป็นเบอร์โทร Call Center ของ LINE OA เพราะค้นหาคำว่า “เบอร์โทร Line Oa” แล้วเจอบทความของเราที่เขียนอัปเดตข่าวข้อมูลของ LINE OA ไว้ และเราได้ติด Call to Action ไว้ตามปกติในหน้าบทความนั้น ๆ เลยมีสายโทรเข้ามาเป็นจำนวนมาก ซึ่งพอเรารู้ว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด เราก็เลยเอาเฉพาะปุ่ม Call to Action ในหน้านั้นออกไปเพียงหน้าเดียว การโทรเข้ามาก็ลดน้อยลงมาก (จะดีใจหรือเสียใจดี)
จะเห็นได้ว่าจากประสบการณ์ที่เล่ามานั้น ปุ่ม Call to Action นั่นช่วยได้จริง ทำให้คนรู้ว่าจะต้องติดต่อได้อย่างไร แนะนำให้ใส่ไว้ทุกหน้าของบล็อกและคอนเทนต์ในเว็บไซต์ จะช่วยเพิ่ม Conversion Rate ได้สูงขึ้นมากจริง ๆ อย่าพลาดโอกาสตรงนี้ไป
ใช้ระบบ Automation เข้ามาช่วยทำงาน ลดภาระคน ลดโอกาสพลาด
จริง ๆ แล้วระบบ Automation ดูจะกว้างมาก และหลายคนก็อาจจะเข้าใจว่า Automation นั้นทำได้ยาก แต่จริง ๆ ง่ายกว่าที่คิด เอาระบบ Automation ในสเกลเล็ก ๆ อย่างการเผยแพร่คอนเทนต์ก่อน อย่างตอนนี้หลายคนอาจจะเผยแพร่ Content ใน Facebook, Instagram, Twitter และในบล็อก โดยอาจจะต้องทำทีละอย่าง ทีละขั้นตอน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใช้เวลามาก ๆ แต่คุณรู้ไหมว่ามีหลายเครื่องมือที่ช่วยให้คุณเผยแพร่ในที่ที่เดียว แล้วมันจะกระจายไปหลายที่ให้เอง
ซึ่งเมื่อเราทำ Automation ในส่วนของ Content เรียบร้อยแล้ว นั่นหมายความว่าจะช่วยให้เกิดการกระจายคอนเทนต์เร็วขึ้น ไม่ต้องมานั่งเสียเวลามาเผยแพร่ทีละแพลตฟอร์ม ยังไม่นับรวมการทำ Automation อื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นการทำ Email Marketing ที่ส่งข้อเสนอดี ๆ หรือนำเสนอคอนเทนต์ไปยังอีเมล ทั้งหมดนี้จะช่วยเพิ่ม Conversion Rate ได้สูงขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยเลยทีเดียว
ซึ่งเครื่องมือที่แนะนำเลยคือ Zapier ซึ่งเป็นเครื่องมือ Automation ในการเชื่อมต่อเครื่องมืออื่น ๆ ที่ลดภาระงานเดิมๆ ซ้ำๆ ได้อย่างชัดเจน เช่นการเผยแพร่คอนเทนต์บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ การส่งอีเมลจดหมายข่าว การกรอกข้อมูล Fill Form ใน Google Sheets อัตโนมัติ ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะเป็นการช่วยอำนวยความสะดวกมากกว่าการเพิ่ม Conversion Rate โดยตรง แต่อย่าลืมว่าเราก็เอาเวลาไปคิดและทำคอนเทนต์น่าจะดีกว่า ให้ระบบทำหน้าที่ของตัวเองไป
สร้างหน้า Landing Page เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน
ถ้าใครเป็นสายทำโฆษณาออนไลน์ หรือยิงแอด จะรู้เลยว่าหน้า Landing Page นั้นมีความสำคัญอยู่ไม่น้อย เพราะหน้า Landing Page นั้นเป็นหน้าเดียวจบที่จะบอกข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้เกิด Conversion ขึ้นมาได้ แต่ด้วยความที่ Landing Page เป็นหน้าเดียวจบเนี่ยแหละ ทำให้ข้อมูลลางอย่างไม่ครบ หรือไม่สามารถครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั้งหมดได้ หลายคนอาจจะไม่เห็นภาพ ลองยกตัวอย่างจากเคสจริง
ถ้าเป็นคลินิกทำฟัน แน่นอนว่าการทำฟันมีหลายบริการมาก แต่ละอย่างก็ไม่เหมือนกัน เราไม่สามารถทำหน้า Landing Page ที่จะบอกข้อมูลบริการทำฟันทั้งหมดได้ แต่เราสามารถแยกหน้า Landing Page ตามบริการที่มีได้ เช่นแยกหน้าสำหรับ จัดฟันแต่ละประเภท รากฟันเทียม รักษารากฟัน จะเห็นเลยว่าแต่ละบริการก็เป็นคนละกลุ่มเป้าหมายกันอยู่แล้ว เพราะถ้ากลุ่มเป้าหมายนั้นตรงกับ Landing Page ก็จะช่วยเพิ่ม Conversion Rate ได้สูงขึ้นไปอีก
และเมื่อใช้กับ Topic Cluster จะช่วยให้เกิดประสิทธิภาพที่ดีขึ้นสูงมาก ๆ โดย Pillar Content นั้น ก็เป็นหน้า Landing Page เชื่อมโยงหน้าคอนเทนต์ทุกหน้ามายังที่หน้า Landing Page หน้านี้ โดยสามารถศึกษาความรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับ Topic Cluster ได้ที่นี่
เพิ่ม Conversion Rate ในเว็บไซต์ ด้วยวิธีง่าย ๆ แต่ได้ผลจริง จากประสบการณ์ตรง
จากที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นวิธีเพิ่ม Conversion Rate ที่ง่าย ๆ และเห็นผลจริง ไม่ใช่วิธีที่ซับซ้อน สามารถทำตามได้ง่าย เพราะอันนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวจากการทำงานจริง ด้วยวิธีเพิ่ม Call to Action การใช้ Automation เข้ามาช่วย และการสร้าง Landing Page ที่แตกต่างกันตามแต่กลุ่มเป้าหมาย ทั้งหมดนี้จะช่วยเพิ่ม Conversion Rate ได้อย่างเห็นผลชัดเจนมากยิ่งขึ้น และสุดท้ายอย่าลืมติด Event และ Conversion Tracking ตามแพลตฟอร์มที่คุณสะดวกได้เลย เพื่อวัดผลว่าเพิ่มจริงทั้งก่อนทำและหลังทำดีขึ้นแค่ไหน
ใครที่มีคำถามเกี่ยวกับ Digital Marketing หรือเกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ สามารถ Inbox สอบถามได้ที่ Facebook ของ Digital Break Time คำถามเด็ด ๆ ที่คิดว่ามีประโยชน์จะนำมาเขียนบอกเล่าให้กับคนอื่น ๆ ได้รู้ด้วย
ติดตามเรื่องราว Digital Marketing จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, Twitter, Line Official Account, Instagram, Spotify, YouTube, Apple Podcast
ธนาคาร เลิศสุดวิชัย x Digital Break Time