ถ้าหากพูดถึงการทำ SEO แล้ว “คีย์เวิร์ด” ถือเป็นหัวใจสำคัญ ที่จะช่วยให้คอนเทนต์ของเราถูกค้นเจอบน Search Engine ได้ง่ายขึ้น แต่จะเลือกคีย์เวิร์ด SEO อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ? วันนี้ผมขอมาเล่าเรื่องราวพื้นฐานของคีย์เวิร์ด รวมถึงเทคนิคการวิเคราะห์และข้อควรระวังในการเลือกคีย์เวิร์ด เพื่อให้คอนเทนต์ของเรามีโอกาสติดอันดับและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้จริง
5 วิธี เลือกคีย์เวิร์ด SEO สร้างคอนเทนต์ให้ติดอันดับ
คีย์เวิร์ด คืออะไร และสำคัญต่อ SEO อย่างไร

คีย์เวิร์ด คือ คำหรือกลุ่มคำที่ผู้ใช้งานพิมพ์ลงในช่องค้นหาของ Google เมื่อต้องการค้นหาข้อมูลทั่วไป หรือข้อมูลสินค้า บริการต่างๆ ตัวอย่างเช่น “คาเฟ่ใกล้ฉัน” “วิธีทำเค้ก” หรือ “ซื้อมือถือออนไลน์” เป็นต้น คีย์เวิร์ดเปรียบเหมือนกุญแจเชื่อมระหว่างจุดประสงค์ของผู้ค้นหา (Search Intent) กับคอนเทนต์ที่เราสร้างขึ้นนั่นเอง
บทบาทของคีย์เวิร์ดต่อการทำ SEO
คีย์เวิร์ดมีบทบาทสำคัญต่อการทำ SEO เพราะเป็นตัวบอก Google ว่าคอนเทนต์ของเราเกี่ยวกับเรื่องอะไร เมื่อผู้ใช้ค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดในคอนเทนต์ของเรา Google จะมีโอกาสแสดงเว็บไซต์ของเราในผลการค้นหามากขึ้น การใช้คีย์เวิร์ดอย่างเหมาะสมจะช่วยเพิ่มการมองเห็น และดึงดูดผู้เยี่ยมชมที่มีคุณภาพเข้าสู่เว็บไซต์ได้
ประเภทของคีย์เวิร์ด
ถ้าโดยพื้นฐาน มีคีย์เวิร์ดอยู่ 2 ประเภทที่คนทำคอนเทนต์ SEO ต้องโฟกัสคือ คีย์เวิร์ดหลัก (Primary Keyword) คือ คำสำคัญหลักที่เป็นหัวใจของคอนเทนต์ และควรมีเพียงหนึ่งคำในแต่ละหน้า และอีกประเภทคือ คีย์เวิร์ดย่อย (Secondary Keywords) เป็นคำที่เกี่ยวข้องและสนับสนุนคีย์เวิร์ดหลัก ช่วยให้คอนเทนต์มีความครอบคลุมและตอบโจทย์ผู้ใช้ได้หลากหลายมากขึ้น
ทำไมการ เลือกคีย์เวิร์ด SEO ถึงสำคัญ
- มีผลต่อการจัดอันดับใน Google – การเลือกคีย์เวิร์ดที่ตรงกับพฤติกรรมการค้นหาจะช่วยให้คอนเทนต์ติดอันดับง่ายขึ้น
- กำหนดทิศทางของคอนเทนต์ – คีย์เวิร์ดที่เลือกเป็นตัวกำหนดว่า เราควรเขียนเรื่องอะไรและเจาะกลุ่มเป้าหมายใด
- เพิ่มโอกาสในการดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่ใช่ – ทำให้ผู้เข้าชมที่ค้นหาคำเหล่านั้นเข้ามายังเว็บไซต์และมีโอกาสกลายเป็นลูกค้าของธุรกิจเราได้
วิธี เลือกคีย์เวิร์ด SEO ให้เหมาะกับธุรกิจและคอนเทนต์
1. วิเคราะห์ Search Volume (ปริมาณการค้นหา)
Search Volume คือ จำนวนครั้งที่ผู้ใช้มีการค้นหาคีย์เวิร์ดนั้นๆ และการเลือกคีย์เวิร์ดควรดู Search Volume ที่เหมาะสมกับเป้าหมายของแบรนด์ด้วย เพราะคีย์เวิร์ดที่มี Search Volume สูงเกินไปอาจมีการแข่งขันสูงและยากต่อการติดอันดับ ในขณะที่คีย์เวิร์ดที่มี Search Volume ต่ำเกินไปอาจไม่คุ้มค่าในการลงทุนทำ SEO
หนึ่งในเทคนิคที่ผมใช้บ่อยและคนทำ SEO ส่วนมากก็ใช้กัน คือการเลือกใช้ Long-Tail Keyword ซึ่งเป็นวลีที่ยาวและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น สมมติว่าเรากำลังทำ SEO ให้แบรนด์รองเท้าวิ่ง คีย์เวิร์ด “รองเท้าวิ่ง” อาจจะมี Search Volume ที่สูงเพราะมีการแข่งขันกันสูง ก็ลองมาเลือกใช้เป็น “รองเท้าวิ่ง ผู้หญิง” หรือ “รองเท้าวิ่ง คนเท้าแบน” ซึ่งมี Search Volume ต่ำกว่าแต่มีโอกาสติดอันดับสูงกว่า และยังเพิ่มโอกาสที่คอนเทนต์ของเราจะถูกพบเจอโดยคนที่สนใจแบบเฉพาะเจาะจงมากขึ้นด้วย
2. พิจารณาความยาก-ง่ายของคีย์เวิร์ด
ความยากง่ายของคีย์เวิร์ด SEO โดยหลักแล้ว จะขึ้นอยู่กับ คีย์เวิร์ดนั้น มีการแข่งขันสูงหรือไม่ ซึ่งในเครื่องมือ Keyword Research ต่างๆ ก็จะมีระดับความยากระบุให้เราอยู่แล้ว เช่น Ahrefs, SEMrush เป็นต้น คีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูง มักเป็นคำที่ธุรกิจหลายแห่งต้องการติดอันดับ เว็บไซต์ที่อยู่ในลำดับต้นๆ มักเป็นเว็บไซต์ที่มี Domain Authority สูงและมีคอนเทนต์คุณภาพมาก การแข่งขันกับคีย์เวิร์ดประเภทนี้ต้องใช้เวลาและทรัพยากรมาก
ในขณะเดียวกัน คีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันต่ำ เป็นโอกาสที่ดีสำหรับการเริ่มต้น โดยเฉพาะเว็บไซต์ใหม่หรือธุรกิจขนาดเล็ก เพราะคีย์เวิร์ดเหล่านี้มีโอกาสติดอันดับได้เร็วกว่าและต้องใช้ทรัพยากรน้อยกว่า ดังนั้นในการพิจารณาเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ยากหรือง่าย ก็ขึ้นอยู่กับว่ากลยุทธ์การทำ SEO ของเราคืออะไร ต้องการแข่งเพื่อเป็นอันดับแรกในคำค้นหานั้น หรือต้องการสร้างตัวตนในช่วงเริ่มต้นของธุรกิจนั่นเอง
3. เลือกคีย์เวิร์ดจากความเกี่ยวข้องกับธุรกิจ
คีย์เวิร์ดที่เลือกต้องสอดคล้องกับสินค้าหรือบริการที่เราเสนอ หากเราขายเสื้อผ้า ไม่ควรเลือกคีย์เวิร์ดเกี่ยวกับอาหาร เพื่อหวังว่าจะได้ Traffic มาก เพราะจะได้ผู้เยี่ยมชมที่ไม่มีความสนใจในสิ่งที่เราขาย และนอกจากคีย์เวิร์ดเกี่ยวกับสินค้าแล้ว ควรเลือกคีย์เวิร์ดที่ช่วยแก้ปัญหาของลูกค้าด้วย เช่น “วิธีวัดไซซ์เสื้อด้วยตัวเอง” หรือ “วิธีเลือกสีเสื้อตาม Skin Tone” คีย์เวิร์ดประเภทนี้ช่วยสร้างความเชื่อถือและทำให้ลูกค้าเห็นว่าเราเป็นผู้เชี่ยวชาญ
อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือ คีย์เวิร์ด ควรครอบคลุมทุกขั้นตอนของ Customer Journey ตั้งแต่การรับรู้(Awareness) การพิจารณา (Consideration) และการตัดสินใจซื้อ (Decision) เพื่อให้เราสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ในทุกช่วงของกระบวนการตัดสินใจ หรือพูดง่ายๆ คือ ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ในจุดไหนของ Customer Journey ก็ควรมีคอนเทนต์ที่ครอบคลุมทุก Intent ในขณะนั้นนั่นเอง
4. วิเคราะห์คู่แข่ง
การค้นหาช่องว่างในการแข่งขันเป็นกลยุทธ์ที่ดี และวิธีนั้นคือ การศึกษาคีย์เวิร์ดที่คู่แข่ง เพื่อหาคีย์เวิร์ดที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจแต่คู่แข่งยังไม่ได้ทำ เพื่อใช้เป็นแต้มต่อในการครองตำแหน่งต้นๆ
5. เลือกคีย์เวิร์ดที่ยังไม่เคยติดอันดับในเว็บไซต์
คีย์เวิร์ดใหม่ๆ จะช่วยเปิดโอกาสให้เราสร้างคอนเทนต์ที่หลากหลายและน่าสนใจมากขึ้น ช่วยทำให้เว็บไซต์มีความสดใหม่และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ครอบคลุมมากขึ้น แต่ก็ต้องมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเราด้วย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาและทรัพยากรในการทำ SEO ที่ไม่ได้ตอบโจทย์เป้าหมายของเรา แนะนำว่า ควรมีการทำ Content Pillar ไว้เป็นหลักในการทำคอนเทนต์ควบคู่กับการเลือกคีย์เวิร์ดด้วย
เทคนิคอื่นๆ ในการทำ SEO ในแง่ของการเลือกคีย์เวิร์ด

- จัดหมวดหมู่คีย์เวิร์ด – ตาม Search Intent เช่น Informational (หาข้อมูล), Transactional (ต้องการซื้อ), Navigational (ค้นหาแบรนด์) เพื่อให้เรามีหลักในการสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ Journey ในขั้นต่างๆ ของลูกค้า
- เลือกคีย์เวิร์ดที่ช่วยสร้าง Conversion – ควรเลือกคีย์เวิร์ดที่ช่วยสร้าง Conversion ด้วย ไม่ใช่แค่เพิ่ม Traffic และจัดลำดับความสำคัญโดยนึกถึงประสิทธิภาพในการสร้าง Conversion เพราะไม่งั้น อาจจะได้แค่คนเข้าชม แต่ไม่มีคนซื้อ
- จัดทำ Keyword Mapping – คือการกำหนดว่าแต่ละหน้าในเว็บไซต์จะใช้คีย์เวิร์ดใด วิธีนี้ช่วยป้องกันการใช้คีย์เวิร์ดซ้ำซ้อนและทำให้โครงสร้างเว็บไซต์มีความชัดเจน แต่ละหน้าจะมีบทบาทที่เฉพาะเจาะจงในการตอบสนองความต้องการของผู้ใช้
ข้อควรระวังในการ เลือกคีย์เวิร์ด SEO
ใช้คีย์เวิร์ดกว้างเกินไป
คีย์เวิร์ดที่กว้างเกินไปมักมีการแข่งขันสูงและไม่เฉพาะเจาะจง ทำให้ยากต่อการติดอันดับและได้ Traffic ที่ไม่มีคุณภาพ การเลือกคีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
เลือกคีย์เวิร์ดที่ไม่สอดคล้องกับคอนเทนต์จริง
การใช้คีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้องกับคอนเทนต์เพื่อหวังว่าจะได้ Traffic มากขึ้นเป็นวิธีที่ผิด ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ใช้ผิดหวังเมื่อไม่พบเนื้อหาที่ต้องการ แต่ Google อาจไม่จัดอันดับดีๆ ให้ด้วย
ใช้คีย์เวิร์ดซ้ำซ้อน
Keyword Cannibalization คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายหน้าในเว็บไซต์เดียวกันแข่งขันกันเองด้วยคีย์เวิร์ดเดียวกัน ทำให้ Google สับสนว่าควรแสดงหน้าไหน และส่งผลเสียต่อการจัดอันดับของทั้งสองหน้า
สรุป การเลือกคีย์เวิร์ด SEO
การเลือกคีย์เวิร์ดที่ดีไม่ใช่แค่การหยิบคำที่คิดว่าน่าสนใจมาทำอย่างเดียว แต่ต้องเลือกอย่างมีกลยุทธ์ เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า และสร้าง Conversion ได้จริง ดังนั้นการทำความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าและเลือกใช้เครื่องมือและข้อมูลในการเลือกคีย์เวิร์ด จะทำให้สามารถวางแผนทำ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพและนำไปสู่ผลลัพธ์ตามเป้าหมายที่วางไว้
ติดตามเรื่องราว Digital Marketing จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, X, Line Official Account, Instagram, Spotify, YouTube, Apple Podcast





