Zapier คืออะไร รีวิว Zapier ต้องเกริ่นก่อนว่าในสายงานของ Digital Marketing นั้นนอกเหนือจากการวางแผนการตลาดและกลยุทธ์แล้ว สิ่งที่น่าเบื่ออยู่อย่างหนึ่งจะมีงานบางอย่างที่เป็น Routine หรืองานที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กัน แต่เราอาจจะไม่รู้ตัว ซึ่งงานซ้ำ ๆ เดิม ๆ ตรงนี้แหละ จะกินเวลาค่อนข้างมากเลยทีเดีย;
แต่ถ้าเราสามารถลดระยะเวลาตรงนี้ไปได้ เราก็จะมีเวลาเพิ่มขึ้น โดยเอาเวลาไปทำอย่างอื่นแทน โดย Zapier เป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ตรงนี้ อธิบายโดยง่ายมันคือเครื่องมือสำหรับการทำ Automation ที่เมื่อเกิดเหตุการณ์ A และเราตั้งค่าให้ทำเหตุการณ์ B ต่อ ซึ่งโดยมากเหตุการณ์เหล่านี้คือเหตุการณ์ที่เราทำเองแต่เป็นเหตุการณ์แบบ Routine ที่ไม่ต้องให้คนทำก็ได้ แต่ใช้ระบบทำเอา
Zapier คืออะไร รีวิว Zapier เครื่องมือ Automation อ่านหัวข้อที่ต้องการ
ตัวอย่างการใช้งาน รีวิว Zapier ในงานด้านของ Marketing

Zapier คืออะไร รีวิว Zapier ประสบการณ์ต่อไปนี้เป็นประสบการณ์จริง ที่นำมาแชร์ต่อเพราะว่าใช้แล้ว ทำงานได้จริง ประหยัดเวลาไปได้มาก อีกทั้งช่วยลดคนที่มาทำงาน Routine พวกนี้ได้ด้วย ตัวอย่างที่ส่วนตัวได้ใช้งานจริงอย่างเช่น
Zapier คืออะไร ใช้งานโฆษณา Facebook Lead Ads ดาวน์โหลด Lead มาไว้ใน Google Sheets หรือใส่ CRM ได้
ใครที่ทำโฆษณาเกี่ยวกับ Lead บ่อย ๆ เพื่อให้ได้ Lead แน่นอนว่า Facebook Lead Generation Ads เป็นรูปแบบโฆษณายอดฮิต เคยเบื่อไหมที่จะต้องมานั่งดาวนโหลด Lead รายชื่อ อีเมล หรือเบอร์โทรต่าง ๆ จากนั้นจึงค่อยนำมากรอกใส่ Google Sheets หรือว่านำมาใส่ระบบ CRM แบบ Manual เอง ขั้นตอนนี้เรียกว่าเป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างน่าเบื่อและใช้เวลาค่อนข้างมาก
แน่นอนว่าเราเซฟเวลาได้ด้วยการเมื่อมีคนลงทะเบียนมาแล้ว ก็ให้ Zapier ช่วยลงบันทึกใน Google Sheets เองได้เลยแบบอัตโนมัติ ซึ่งเราสามารถจัดแจงเรื่อง Column ได้ด้วยว่าหัวข้อชื่อนามสกุล เบอร์โทรศัพท์ให้แยกออกจากกัน การบันทึกนั้นเป็นเรียลไทม์ (ขึ้นอยู่กับแพ็กเกจที่เลือกด้วย) โดยเราสามารถแชร์ Google Sheets นี้ให้กับบุคคลอื่นอย่างเช่นเซลล์ เพื่อให้ติดต่อกลับหาลูกค้าโดยง่าย ไม่จำเป็นที่จะต้องรอเราดาวน์โหลดเป็นรอบ ๆ ไป
ไม่เพียงแค่ Facebook Lead Ads เท่านั้น แต่ยังรวมถึง Google Ads ที่มีส่วนขยายให้กรอกฟอร์มติดต่อกลับ และเว็บไซต์ที่มีฟอร์มใช้ Webhooks ก็สามารถใช้งานฟีเจอร์นี้ได้เช่นกัน
ส่งอีเมลแจ้งเตือนลูกค้า หรือแจ้งเตือนในแอปแชทสำหรับองค์กรให้กับบุคคลในทีมเมื่อเกิด Lead
หลายคนอยากทำ CRM แบบง่าย ๆ เริ่มต้นจากการส่งอีเมล แต่แน่นอนว่าการส่งอีเมลหาลูกค้ามักจะมีการลิสต์รายชื่ออีเมล แล้วก็ข้ามไปเพื่อใช้งานบริการอีเมลอื่น ๆ เพื่อส่งไปทีเดียว แต่ถ้าคุณรายชื่ออีเมลมีไม่มาก แล้วอยากทำอีเมลตอบรับอัตโนมัติ เมื่อมีคนลงทะเบียนผ่าน Facebook Lead Ads (หรือ Lead ช่องทางอื่นตามที่เราตั้งค่าไว้) Zapier ก็จะทำงานอัตโนมัติ ด้วยการส่งเมลด้วย Account เมลของเรา เราสามารถร่างเขียนและปรับ Personalize อย่างเช่นชื่อนามสกุลที่ลูกค้าลงทะเบียนมาได้
หรือถ้าต้องการแจ้งเตือนกับคนในทีมเมื่อมีคนลงทะเบียนเข้ามา ก็สามารถทำได้เช่นกัน ผ่านแอปแชทขององค์กร (ส่วนตัวเคยลองใช้กับ Microsoft Teams และ ChatWork) เมื่อมีคนลงทะเบียนมาแล้ว มีการแจ้งเตือนให้ผ่านห้องแชทที่เรากำหนดได้ด้วยเช่นกัน
ช่วยเผยแพร่คอนเทนต์จากเว็บไซต์ หรือ Social Media ไปยัง Social Media อื่น แบบอัตโนมัติ
อันนี้น่าจะถูกใจคนที่ทำงานเป็น Content Creator เป็นอย่างมาก เบื่อมั้ยกับการต้องมาอัพโหลดคอนเทนต์เหมือนกัน ๆ กันในทุกแพลตฟอร์ที่เรามี หรือคนที่ทำคอนเทนต์บนเว็บไซต์เป็นหลัก เช่นบทความ จะเป็นไปได้มั้ยที่เราโพสต์ลงบทความในเว็บไซต์ครั้งเดียว แล้วลงทุก Social Media ไปพร้อมกัน บอกเลยว่าเป็นไปได้ (สำหรับเว็บไซต์ที่สร้างด้วย WordPress)
ซึ่งในด้านบนนี้ต้องเช็คดูอีกครั้งว่า Zapier รองรับแอปพลิเคชันของแพลตฟอร์มที่เราต้องการใช้งานหรือไม่ด้วย
ตัวอย่างสำหรับการตั้งค่า เพื่อใช้งาน รีวิว Zapier

ภาพด้านบนเมื่อเราเลือกสร้าง Zaps ก็จะเลือกแอปที่ต้องการ ในที่นี้คือ Facebook Lead Ads โดยเราจะต้องล็อกอินแอคเคานท์ Facebook ของเราที่สามารถเข้าถึง Leads ของ Facebook เพจที่เราต้องการได้ก่อน จากนั้นก็จะมีให้เลือกว่าเราล็อกอินเข้าแอคเคานท์ไหน ใช้งานกับเพจอะไร และฟอร์มไหนที่ต้องการจะทำให้เกิด Automation โดย Trigger หรือสิ่งที่เราเลือกที่จะให้เกิด Automation คือเมื่อเกิด New Lead หรือคนที่ลงทะเบียนนั่นเอง

ต่อมาคือการที่ให้ทำอะไรต่อไปหลังจากเกิดการลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว อันนี้เราให้เลือกเป็นบันทึก Lead ลงใน Google Sheets นั่นเอง โดยเราเลือกล็อกอิน Google Account ที่เราต้องการ จากนั้นเลือก Event ที่เราต้องการให้เกิดขึ้น ในภาพตัวอย่างคือการสร้างแถวของ Google Sheets ขึ้นมาใหม่เพื่อบันทึกรายชื่อที่เราได้ Lead มา จากนั้นเลือก Worksheet และเลือกคอลัมน์ว่าอยากให้บันทึกอะไรในช่องไหน สุดท้ายก็จะมีการให้เทสว่า Automation ที่เราสร้างมานั้น ใช้งานได้จริงหรือไม่ ถ้าเกิดการบันทึกแล้ว นั่นหมายความว่าใช้งานได้แน่นอน

Zapier คืออะไร ราคาเท่าไร และมีแพ็กเกจอะไรบ้าง
วิธีการคิดของ Zapier จะนับเป็น Zaps และ Tasks ซึ่ง Zaps คือการสร้างเป็นกลุ่มเหตุการณ์ โดยภายใน 1 กลุ่มเหตุการณ์ จะสร้างจำนวนเหตุการณ์ได้อย่างต่อเนื่อง แบบไม่จำจัดจำนวนเหตุการณ์ในกลุ่ม (แต่ต้องเป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกัน)
ส่วน Tasks นั้น คือการนับผลลัพธ์ที่ Zapier ได้ดำเนินการเสร็จสิ้น เป็นจำนวนครั้งที่ทำงานสำเร็จ เช่นถ้ามีการลงทะเบียนผ่าน Facebook Lead Ads 1 รายชื่อ แล้วมีการกรอก Google Sheets 1 ครั้ง นั่นคือจะนับเป็นจำนวน Tasks คือ 1 Task นั่นเอง
ยกตัวอย่าง ถ้าเราสร้างเหตุการณ์ A (เมื่อมีคนลงทะเบียนผ่าน Facebook Lead Ads) > เหตุการณ์ B (กรอกฟอร์ม Google Sheets โดยอัตโนมัติ) > เหตุการณ์ C (ส่งอีเมลโดยเป็นรายชื่อครั้งละอีเมลให้กับลูกค้าของเรา เมื่อลงทะเบียนสำเร็จ) ทั้งหมดนี้จะนับเป็น 1 Zap และ 3 Tasks แต่เมื่อมีคนลงทะเบียน 2 คน จำนวน Tasks ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 6 Tasks แต่จำนวน Zaps จะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว ยกเว้นเราจะมีการสร้างกลุ่มเหตุการณ์ใหม่
Zapier มีราคาแพลนเยอะมาก แต่เอาแค่ในเบื้องต้น โดยเราจะเปรียบเทียบ Free Plan และ Starter ก่อน

- Free Plan แผนฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ
แผนนี้ใช้งานได้ฟรี โดยจำกัดที่ 5 Zaps และ 100 Tasks ต่อเดือนเท่านั้น โดยการเกิด Automation จะใช้เวลาประมาณ 15 นาที ซึ่งไม่ได้เรียลไทม์แบบแผนที่จ่ายเงิน อีกทั้งยังสร้าง Zaps ได้แบบ 1 Step หรือขั้นตอนเดียวเท่านั้น ไม่สามารถสร้างหลาย ๆ เหตุกาณ์ใน Zaps เดียวกันได้ และบางแอปก็ไม่ได้เปิดใช้ให้กับแผนนี้ (เช่น Facebook Lead Ads จำเป็นต้องใช้แผนจ่ายเงินเท่านั้น)
- Starter Plan แผนสำหรับผู้เริ่มต้น
แผนนี้ค่อนข้างยืดหยุ่นกว่าแบบฟรีมาก เพราะสร้างได้มากถึง 20 Zaps เป็น Zaps ที่สร้างได้หลายสเต็ป และ 750 Tasks/เดือน (ถ้าไม่พอจ่ายเงินเพิ่มรับเป็น 1,500 Tasks/เดือน) ใช้แอพที่เป็นแบบพรีเมี่ยมได้สูงสุดถึง 3 แอพด้วยกัน สามารถใช้งานกับ Webhooks ได้ด้วย
สนนราคาเริ่มต้นอยู่ที่ $19.99 สำหรับ 750 Tasks และ $39 สำหรับ 1,500 Tasks ต่อเดือน ซึ่งราคานี้เป็นราคาต่อเดือนก็จริง แต่ว่าเป็นสัญญารายปี ไม่สามารถยกเลิกได้ก่อน 1 ปี แต่ถ้าเป็นราคาต่อเดือนแบบไม่ผูกมัดจะอยู่ที่ $29.99 ต่อเดือนสำหรับ 750 Tasks และ $58.50 ต่อเดือน สำหรับ 1,500 Tasks
แนะนำว่าลองใช้แผนฟรีก่อน ว่าถูกใจหรือไม่ ลองได้ตั้งค่าเองว่าใช้งานจริงเป็นอย่างไร จากนั้นจึงค่อยพิจารณาต่อว่าจะเลือกแผนเสียเงินแบบไหน ซึ่งมีให้เลือกมากมาย เลือกตามความเหมาะสมของปริมาณที่ต้องการใช้จะดีที่สุด ส่วนตัวผู้เขียนเองใช้แบบ Starter 750 Tasks แบบ $29.99 เพราะจะยกเลิกเมื่อไรก็ได้
Zapier คืออะไร ข้อดีและข้อที่ควรพิจารณาของ Zapier
สำหรับ Zapier แล้ว ข้อดีนับว่ามีประโยชน์มากมายในด้านของการทำ Automation แต่ก็มีบางจุดที่ควรจะต้องพิจารณาด้วยเช่นกัน
ข้อดีของการใช้งาน Zapier
- ช่วยประหยัดเวลา ลดขั้นตอนการทำงานแบบซ้ำ ๆ ออกไป
ในแง่มุมที่เป็นประโยชน์มากที่สุดของ Zapier คงจะหนีไม่พ้นการที่ช่วยเราประหยัดเวลาขั้นตอนการทำงานได้มาก โดยเฉพาะงานที่ต้องทำเดิม ๆ ซ้ำ ๆ อยู่เรื่อย ๆ เพราะงานเหล่านี้ค่อนข้างเป็นงานเดิม ๆ ใครทำก็ได้ การใช้ระบบ Automation จะช่วยเราประหยัดเวลาได้มาก
- บางแอปและบางฟีเจอร์ฟรี ไม่จำเป็นต้องเสียเงิน
อย่างที่กล่าวไปเบื้องต้น สำหรับแผนการใช้งานฟรีสามารถใช้งานได้ 5 Zaps และ 100 Tasks ต่อเดือนได้ โดยบางแอปก็สามารถใช้งานได้ก็มีเป็นจำนวนมาก สำหรับใครที่ต้องการทดลองใช้ก่อนว่าเหมาะหรือไม่ ใช้งานแบบไหน แน่นอนว่าใช้งานแผนฟรีไปก่อน ถ้ามันเวิร์ค และรู้สึกคุ้มค่า สามารถช่วยงานเราได้จริง ค่อยขยับเป็นแผนจ่ายเงินได้ - ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก
พอมีคำว่า Automation หลายคนอาจจะคิดว่าต้องยุ่งยากหรือต้องมีความรู้เรื่อง Coding แน่นอน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ใช้งานง่ายมาก ไม่ต้อง Coding แต่อย่างใด เพียงแค่ว่าเรามีแอคเคานท์ของ Zapier ต้องการใช้แอปไหน และให้ทำอะไร ก็ล็อกอินแอปนั้น โดย Zapier จะขอสิทธิ์การใช้งานจากเรา อีกทั้งยังมีระบบเทสด้วย ว่าที่เราตั้งค่า Zaps มานั้น สามารถใช้งานได้จริงหรือไม่ ถ้า Test แล้วได้ผลลัพธ์ดี นั่นหมายความว่าใช้งานได้ตามปกตินั่นเอง
ข้อที่ควรพิจารณาในใช้งาน Zapier
- ราคาถือว่าสูงพอสมควรสำหรับการใช้งานแบบเริ่มต้น Starter Plan
ราคาเริ่มต้นของ Zapier สำหรับ Starter Plan นั้นจะอยู่ที่ $19.99 ต่อเดือน เมื่อตีเป็นเงินไทยแล้วจะอยู่ที่ราว 660 บาท แต่ช้าก่อนนี่คือเป็นการใช้งานรายปี จะไม่สามารถยกเลิกได้ถ้าใช้ไม่ครบปี เพียงแต่ว่ามีการเก็บเงินเป็นรายเดือน ถ้าจะใช้แพ็กเกจเริ่มต้นที่ยกเลิกเมื่อไรก็ได้จะมีราคาอยู่ที่ $29.99 หรือราว 1,000 บาท เลยทีเดียว ทำให้ราคาขนาดนี้อาจจะเหมาะสมกับการมาใช้กับธุรกิจจริงจังมากกว่าการใช้งานโดยทั่วไปมากกว่า
- ราคาขึ้นอยู่จำนวน Automation และความถี่ในการเกิด Automation
ราคาของ Zapier มีแพ็กเกจให้เลือกมากมาย แต่ว่าจะถูกจำกัดในการเกิด Automation หรือที่เรียกว่า Tasks เป็นหลัก นั่นหมายความว่ายิ่งใช้ Tasks มาก ราคาต่อแพ็กเกจก็จะสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว แต่สำหรับใครที่ใช้น้อยมาก แล้วไม่เกิน 750 Tasks เมื่อเข้าสู่รอบบิลถัดไป ก็จะตัด Tasks ที่เหลือทั้งหมด ทำให้ควรเลือกแพ็กเกจที่เหมาะสมกับจำนวน Tasks จะดีกว่า
ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า Zapier คือเครื่องมือที่คอยช่วยจัดการ Automation แบบใช้งานง่าย ใครก็ใช้ได้ โดยเฉพาะในด้านของงาน Digital Marketing ไม่เพียงแค่นั้น Zapier ยังไปปรับใช้กับงานอื่น ๆ เช่นงาน Sales ได้อีกด้วย อีกทั้งสาระสำคัญของการใช้งาน Zapier คือการช่วยเราประหยัดเวลาในการทำงานเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ลดเวลาและขั้นตอนการทำงานให้ง่ายขึ้นด้วย
ใครที่มีคำถามเกี่ยวกับ Digital Marketing หรือเกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ สามารถ Inbox สอบถามได้ที่ Facebook ของ Digital Break Time คำถามเด็ด ๆ ที่คิดว่ามีประโยชน์จะนำมาเขียนบอกเล่าให้กับคนอื่น ๆ ได้รู้ด้วย
ติดตามข่าวสาร บทความดี ๆ จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, Twitter, Line Official Account, Instagram
ธนาคาร เลิศสุดวิชัย x Digital Break Time