วิธี Bidding LINE Ads Platform สำหรับ Conversions โดยเฉพาะ ต้องบอกก่อนว่า LINE Ads Platform หรือที่เรารู้จักกันว่า LAP นั้น เริ่มเปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปสามารถใช้งานโฆษณาเองได้แล้ว ทำให้การลงโฆษณาบน LINE มีมากขึ้น
ซึ่งตัวโฆษณาของ LINE Ads Platform เอง นั้นสามารถทำโฆษณาได้หลากหลายจุดประสงค์หลาย Objective ไม่ว่าจะเป็น Website Visit, App Installs, App Engagement, Video View, Gain Friends แต่ที่จะเราโฟกัสกันในบทความนี้คือ Website Conversion เพราะว่าเป็นสิ่งที่หลายคนอยากได้ เราสามารถกำหนด Conversions ได้ไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อสินค้า การลงทะเบียน การสมัครสมาชิก และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยเราสามารถปรับใช้ได้หลายธุรกิจ จึงทำให้จุดประสงค์แบบ Website Conversions เองเป็นที่นี่ยมเป็นอย่างมาก ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกกับการปรับวิธี Bidding และทำความเข้าใจให้มากขึ้น
วิธี Bidding LINE Ads Platform มีอะไรบ้าง
วิธี Bidding LINE Ads Platform มี 2 แบบใหญ่
วิธีการปรับแต่งจะอยู่ในส่วนของ Ad Groups ให้เราเข้าไปกดที่ Edit ของ Ad Groups ที่ต้องการได้เลยตรงที่ระบุไว้ว่าเป็น Bidding amount configuration นั่นคือการปรับระบบพื้นฐานของการ Bidding จะมีอยู่ 2 แบบ ด้วยกันคือ
Configure automatically to maximize conversions

คือการให้ระบบคำนวณ Bidding แบบให้ได้ Conversions ในระดับมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งระบบจะช่วยคิดให้อัตโนมัติ แต่ว่าเราสามารถปรับแต่งได้บ้างตามที่เรากำหนดไว้ แนะนำเป็นอย่างมาก ให้ใช้แบบนี้ เนื่องจากว่าในช่วงแรกนั้นเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า CPA หรือราคาที่จะทำให้เกิดแต่ละ Conversion จะอยู่ที่เท่าไร ดังนั้นการให้ระบบช่วยคิดให้ จะช่วยเติมเต็ม Conversion ได้มากกว่า หลังจากที่ได้จำนวน Conversion มาบ้างแล้วค่อยมากำหนดราคา CPA ก็ยังไม่สาย
ต่อมาคือช่องคำว่า Optimize For? คือการที่เรากำหนดว่าอยากให้ระบบโฟกัสที่อะไร ซึ่งแน่นอนว่าคือ Conversions แต่ใน Line Ads Platform นั้นเราสามารถกำหนดค่า Conversion ได้หลายแบบ แบบแรกคือ Conversion แบบพื้นฐานที่ระบบต้องให้เซ็ตผ่านการติดตั้งด้วยโค้ดก่อน วิธีการติดตั้ง Line Tag และConversion นั้นไม่ยาก แต่ถ้าเรามี Conversion หลายรูปแบบ เราก็สามารถติดตั้ง Custom Conversion เพิ่มเข้าไปได้ด้วย ซึ่งถ้าเราตั้งค่าทั้ง Conversion และ Custom Conversion ไว้แล้ว ตรงนี้เราก็จะสามารถเลือกได้
ถัดมาอีกก็จะเป็น Payment Method ว่าระบบจะคิดเงินเป็นอย่างไร ในจุดมุ่งหมายของ Website Conversion จะทำได้เพียงอย่างเดียวคือ Cost per impressions จะไม่มีอย่างอื่นให้เลือก คือเราต้องจ่ายเงินเมื่อเกิดการโชว์โฆษณา
สุดท้ายจะเป็นส่วนของ Bidding strategy ซึ่งจะมีอยู่ทั้งหมด 4 รูปแบบ ด้วยกัน
Set a bid amount cap ให้ได้ราคา CPA ไม่เกินที่เรากำหนดไว้

การประมูลราคาแบบนี้ จะให้เราใส่ราคา CPA ที่เรารับได้สูงสุดลงไป ระบบจะคัดเลือกการโชว์โฆษณา ที่ทำให้เกิด Conversion ในราคาต่อ CPA ไม่เกินที่เรากำหนดไว้ นั่นหมายความว่าระบบ Bidding แบบ Set a bid amount cap ในภาพรวมทั้งหมดค่า CPA จะไม่แพงกว่าที่เรากำหนดไว้ ซึ่งรูปแบบนี้ค่อนข้างมีความยืดหยุ่นน้อย แต่เหมาะมากกับการรีดประสิทธิภาพโฆษณาให้ได้มากที่สุด ได้ Conversion ในราคาไม่เกินที่เรากำหนดไว้
Set event cost cap กำหนดราคา CPA โดยเฉลี่ยในภาพรวม

แบบนี้จะมีความคล้ายคลึงกับข้อด้านบน แต่ว่าจะแตกต่างกันเล็กน้อย นั่นคือถ้าเราใส่ราคา CPA สูงสุดลงไป ระบบจะพยายามหา Conversion ที่อาจจะเกินราคาต่อ CPA ที่คุณกำหนดไปไว้บ้าง แต่ในค่าเฉลี่ยโดยรวมนั้นก็ยังไม่เกิน CPA ที่คุณกำหนดไว้ ทำให้การประมูลราคาแบบ Set event cost cap มีความยืดหยุ่นมากกว่าเล็กน้อย เนื่องจากทำให้ได้ Conversion ตามที่เรากำหนด CPA ไว้อยู่
Set target event cost กำหนดราคา CPA แบบตายตัว

แบบนี้จะเหมาะเมื่อเรามีราคา CPA ในใจอยู่แล้ว (หรือมี Data จากการทำแคมเปญครั้งก่อน ๆ) ซึ่งการกำหนด Bidding นี้เรากำหนดราคาต่อ CPA ได้เลย ระบบจะหา Conversion ให้ได้ตามราคาที่เรากำหนดไว้โดยมีการบวกลบจากราคาอยู่ที่ประมาณ 10% แต่การ Biding ในรูปแบบนี้ถ้าเราตั้งค่าราคา CPA ที่สูงกว่าความเป็นจริงมาก อาจทำให้เราต้องจ่ายเงินต่อ CPA แพงกว่าปกติได้
No limit; expend daily budget as aggressively as possible ไม่กำหนด เน้นใช้เงินต่อวันให้เร็วที่สุด

แบบนี้คือการที่เราไม่ได้กำหนดรูปแบบและราคาของ CPA ตายตัว แต่จะเน้นให้ใช้งบประมาณให้หมดในวันนั้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แนะนำว่าถ้าไม่ได้ต้องการจะเร่งใช้เงินให้หมด ก็ไม่แนะนำให้เลือก Bidding แบบนี้เท่าไร แนะนำเลือกเป็นอย่างอื่นมากกว่า
Configure manually

ส่วนอันนี้คือการที่เรา Bidding ให้โชว์โฆษณา ซึ่งวิธีการคิดเงินนั้นจะเป็นรูปแบบ Cost per Impression เท่านั้น โดยเราจะเป็นผู้กำหนดราคาของ Cost per 1,000 Impressions หรือ CPM เอง ซึ่งราคาที่เราระบุลงไป จะเป็นราคาสูงสุดที่เราเลือกไว้ต่อการแสดงผลโฆษณา 1,000 ครั้ง ซึ่งราคาของ CPM ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่ากลุ่มเป้าหมายที่เราเลือกนั้นมีความกว้างหรือแคบมากเพียงใด ถ้ากลุ่มเป้าหมายกว้าง แน่นอนว่าราคาต่อ CPM ก็จะค่อนข้างต่ำ ซ฿งกลับกันเมื่อเราเลือกกลุ่มเป้าหมายที่แคบลง ราคา CPM ก็จะสูงตามไปด้วย แนะนำว่าให้เราใส่ลงไปในระดับสูง ๆ ตามที่เราสามารถจ่ายได้ไปก่อน เมื่อโฆษณารันไปแล้วสัก 3-7 วัน ค่อยกลับมาดูค่าเฉลี่ยว่าราคา CPM แท้จริงอยู่ที่เท่าไร แล้วค่อยสามารถปรับได้อีกที
โดยสรุปเลือก Bidding LINE Ads Platform แบบไหนดีกว่ากัน
ไม่มีคำตอบที่ตายตัวว่าจะเลือก Bidding แบบไหนถึงจะดีที่สุด ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความต้องการมากกว่า ซึ่งทาง Digital Break Time แนะนำเป็นการเลือกใช้ Configure automatically to maximize conversions แบบ Set a bid amount cap หรือ Set event cost cap ค่อนข้างเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ใช้งานโดยทั่วไป เพื่อให้ได้ Conversion ที่มากที่สุดตามที่เรากำหนดราคา CPA ต่อ Conversion เอาไว้
แต่ทั้งนี้แล้วการตั้งค่าราคาของ CPA ก็สำคัญ แนะนำว่าควรใส่ให้มากไว้ก่อน แล้วค่อยให้แคมเปญรันไปสักพักราว 7 วัน แล้วเช็คดูว่ามี Conversion เท่าไร CPA โดยเฉลี่ยเป็นอย่างไร เช่นถ้าแคมเปญรันไปแล้วเกิด 10 Conversions และมี CPA อยู่ที่ 1,000 บาท ถ้าเราต้องการ CPA ที่ถูกกว่านี้เราก็อาจจะกำหนดราคา CPA ไปได้ที่ 800-900 บาทเพื่อกดให้ราคาเฉลี่ยต่ำลง แต่ถ้ากดราคาต่ำมากเกินไปเช่นต้องการ CPA ละ 50 บาทจากปกติคือ 1,000 บาท ถ้าเราใส่ไปก็อาจทำให้โฆษณาไม่รันได้ เนื่องจากเราประมูลราคา Bidding ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาเกินไปนั่นเอง
ใครที่มีคำถามเกี่ยวกับ Digital Marketing หรือเกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ สามารถ Inbox สอบถามได้ที่ Facebook ของ Digital Break Time คำถามเด็ด ๆ ที่คิดว่ามีประโยชน์จะนำมาเขียนบอกเล่าให้กับคนอื่น ๆ ได้รู้ด้วย
ติดตามข่าวสาร บทความดี ๆ จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, Twitter, Line Official Account, Instagram
ธนาคาร เลิศสุดวิชัย x Digital Break Time