ทำแผน การตลาดออนไลน์ Digital Marketing อย่างไร ให้ลูกค้าซื้อแผน อันนี้เรียกได้ว่าเป็นคำถามที่ได้รับมาใน Inbox ของ Facebook เป็นคำถามที่ดูเรียบง่าย เลยตอบกลับไป แต่เห็นว่าคำถามแบบนี้ น่าจะสามารถนำมาต่อยอดให้คนอื่นรับรู้ได้ด้วย
จึงมาเขียนบทความเพื่อให้คนอื่นได้รับรู้ด้วย สำหรับใครที่ทำงานในสายงานด้านนี้ต้องการให้ลูกค้าซื้อ แผนการตลาดออนไลน์ ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง ไว้เป็นพื้นฐานเพื่อให้ปิดการขายได้ง่ายขึ้น
ทำแผน การตลาดออนไลน์ Digital Marketing ให้ลูกค้าซื้อแผน
ทำแผน การตลาดออนไลน์ แล้วได้อะไรกลับมา พยายามให้เป็นตัวเลข เช่น Lead หรือ Purchase

อันนี้เรียกได้ว่าเวลาไปนำเสนอ ทำแผน การตลาดออนไลน์ งาน Digital Marketing จะโดนถามกลับมาเยอะที่สุดว่า เค้าจะได้อะไรกลับมา ถ้าเป็นลูกค้าโดยทั่วไปที่มีความรู้หรือเคยใช้งาน Digital Marketing มาก่อนบ้างแล้ว ก็มักจะมีคำถามเลยว่า ถ้าใช้เงินเท่านี้จะได้อะไรกลับมาบ้าง?
แนะนำว่าในแผน อย่างน้อยต้องมีการ คาดการณ์ผลลัพธ์ของการโฆษณา ขึ้นอยู่กันแผนแต่ละแผน เช่นถ้าต้องการทำโฆษณาธุรกิจที่ต้องการ Lead อย่างน้อยเราก็ต้องคาดการณ์ล่วงหน้าว่า Lead จะมี CPL เท่าไร ได้ทั้งหมดกี่ Lead เมื่อใช้เงินเท่านี้ ทำเป็นตัวเลขให้ลูกค้าหรือผู้รับสารทราบ ส่วนตัวเลขจะหาได้จากที่ไหน? แน่นอนว่าถ้าต้องการความแม่นยำมากที่สุดก็ควรจะเป็นธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน ใช้โมเดลการโฆษณาจุดประสงค์ที่เหมือนกัน ในระยะเวลาที่ผ่านไปไม่นานนัก จะช่วยให้การคาดการณ์แม่นยำขึ้น
ทำสไลด์ให้น้อยหน้า ไม่ต้องใส่รายละเอียดมาก เน้นอ่านออกได้ง่าย เข้าใจง่าย
บางคนชอบ ทำแผน การตลาดออนไลน์ แบบจัดเต็ม อัดสไลด์เป็นหลายสิบหน้า เน้นข้อมูลเยอะ ๆ แน่น ๆ มีหลายประเด็นเต็มไปหมด แต่ในความเป็นจริง คุณมักจะมีเวลาพรีเซนต์นำเสนอแผนการในเวลาที่จำกัดมาก ๆ นั่นหมายความว่าสไลด์ไม่ควรจะมีจำนวนหน้าเยอะ ๆ ควรมีจำนวนหน้าที่น้อยลง สรุปทุกอย่างได้ภายในระยะเวลาที่จำกัด เน้นเฉพาะข้อมูลที่ต้องแสดงโชว์เท่านั้น ข้อมูลปลึกย่อยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่จำเป็นให้ตัดออกจากสไลด์
ส่วนการสร้างสไลด์ เน้นตัวอักษรที่ใหญ่ อ่านง่าย มีตัวเลขประกรอบ ทางที่ดีมี Infographic ด้วยจะดีมาก เพราะสามารถอธิบายได้เร็ว เรียกตาม Agenda เพื่อไม่ให้สับสนหรือหลงทางในขณะพรีเซนต์ ช่วยให้ไม่หลุดประเด็น
ใส่ Case Study ที่เราเคยทำมา โดยเฉพาะธุรกิจที่ใกล้เคียงหรือคล้ายกัน

ทำแผนการตลาดออนไลน์ Digital Marketing ของแต่ละธุรกิจย่อมแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น B2B B2C หรือต่อให้เป็นสินค้าประเภทเดียวกันก็ตาม มักจะมีความแตกต่างในในรายละเอียดปลีกย่อย แต่สิ่งที่จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจได้มาก ๆ คือการใส่ Case Study ที่มีธุรกิจใกล้เคียงหรือคล้ายกับ ธุรกิจของลูกค้าที่เราไปนำเสนองาน เพราะจะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าเรามีความเชี่ยวชาญกับธุรกิจในด้านนี้ และข้อมูลที่เรานำเสนอมาก็มีความใกล้เคียงกับธุรกิจของลูกค้ามาก จึงเป็นการโน้มน้าวใจที่ได้ผลดีมาก ๆ ที่จะช่วยเร่งให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อแผน Digital Marketing ที่เราได้นำเสนอออกไป
ทำแผน การตลาดออนไลน์ ราคาต้องชัดเจน ว่าเท่าไร รวมบริการอะไรบ้าง
สุดท้ายคือราคา ทำแผน การตลาดออนไลน์ จากประสบการณ์ส่วนตัว เนื่องจากแผน Digital Marketing นั้นค่อนข้างยืดหยุ่นมากในด้านของ Budget ซึ่งตรงนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก แต่ว่าส่วนที่เป็นค่าบริการนั้นมีการคิดอัตราในราคาที่หลากหลายมาก หลายที่คิดเป็นอัตราค่า Fee ที่คิดเป็น % ของ Budget ตั้งแต่ 10-15% บางที่คิดเป็นราคา Fixed ตายตัว หรือบางที่ใช้แบบผสมกัน ราคาเริ่มต้นเป็นแบบ Fixed แต่ถ้าราคา Budget ไปถึงจุดจุดหนึ่งก็จะเป็นราคาแบบ % ของ Budget แทน ขึ้นอยู่กับโมเดลธุรกิจไม่มีผิดหรือมีถูกแต่อย่างใด แต่จำเป็นมาก ๆ ที่จะต้องแจ้งราคาอย่างชัดเจนว่าเราเก็บค่าบริการในส่วนใดบ้าง เป็นราคาเท่าไร
อันนี้เสริมให้เลยว่า ตั้งแต่ทำธุรกิจในด้าน Digital Marketing มา ส่วนมากลูกค้าไม่ค่อยกังวลเรื่องค่า Fee มากนัก แพงหรือถูกก็มักจะคัดเลือกลูกค้าที่มีกำลังจ่าย แต่ที่ลูกค้ากังวลมาก คือเมื่อทำไปแล้ว Performance เห็นผลหรือไม่ มีการบริการเป็นอย่างไร ต่อเนื่องไหม Service ดีไหมมากกว่า ซึ่งตรงจุดนี้เป็นสิ่งที่ลูกค้าค่อนข้างให้ความสำคัญจากที่เคยถามลูกค้าของตัวเองมาจริง ๆ
ทั้งหมดนี้หวังว่าน่าจะนำไปใช้ประโยชน์ได้ สำหรับผู้ที่ทำงานในสายงานการตลาดออนไลน์ Digital Marketing ไปประยุกต์ใช้งานเพื่อให้ปิดการขายได้
ใครที่มีคำถามเกี่ยวกับ Digital Marketing หรือเกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ สามารถ Inbox สอบถามได้ที่ Facebook ของ Digital Break Time คำถามเด็ด ๆ ที่คิดว่ามีประโยชน์จะนำมาเขียนบอกเล่าให้กับคนอื่น ๆ ได้รู้ด้วย
ติดตามข่าวสาร บทความดี ๆ จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, Twitter, Line Official Account, Instagram
ธนาคาร เลิศสุดวิชัย x Digital Break Time