เปรียบเทียบ Shopee Ads เรียกได้ว่าโฆษณาสำหรับช้อปปี้นั้น มีความแตกต่างจากคู่แข่งอย่าง Lazada ค่อนข้างมาก ถึงแม้จะเป็นแพลตฟอร์ม eCommerce ก็ตาม ทาง Digital Break Time เลยจะมาอธิบายในคอนเทนต์นี้อย่างละเอียด
เปรียบเทียบ Shopee Ads ทั้ง Search Ads, Discovery Ads, Shop Ads และ Boost Ads แบบไหนดีกว่ากัน
ทำความเข้าใจรูปแบบโฆษณา เปรียบเทียบ Shopee Ads กันก่อน
ต้องเข้าใจก่อนว่าระบบการทำงานของ Shopee Ads นั้นเป็นการโฆษณาแบบรายสินค้าเป็นหลัก นั่นหมายความว่าโฆษณา 1 รูปแบบ (Search Ads, Discovery Ads, Boost Ads) จะสามารถสร้างได้ต่อ 1 สินค้าเท่านั้น (1 สินค้าในที่นี้ไม่ได้หมายถึงจำนวน และไม่ไม่ได้หมายถึง SKUs แต่หมายถึงหน้าสินค้าใน Shopee) ซึ่งจะดีสำหรับร้านค้าที่มีสินค้าจำนวนน้อย เพราะจะง่ายต่อการทำงบประมาณ ควบคุมงบได้ แต่ถ้าร้านค้ามีประเภทสินค้าจำนวนมาก และต้องการโฆษณาสินค้าเกือบทั้งหมดในร้าน จะกลายเป็นคนละเรื่องเลยทีเดียว เพราะคุณต้องสร้างโฆษณาเกือบเท่ากับประเภทสินค้าที่วางขาย ยิ่งจำนวนเยอะ ก็จะยิ่งซับซ้อน การทำ Budget ก็จะวุ่นวายพาสมควร
แตกต่างจาก Lazada Ads ซึ่งโฆษณาทางฝั่งลาซาด้า จะมีความคล้ายกับโฆษณาทั้ง Facebook Ads, Google Ads คือจำเป็นที่จะต้องสร้างแคมเปญก่อน จากนั้นค่อยเลือกสินค้าแต่ละชนิดเข้าไป ซึ่งจะง่ายต่อการทำ Budget และยังสามารถสร้างแคมเปญที่แบ่งประเภทของสินค้าได้ง่ายอีกด้วย
Shopee Ads จะมีการทำโฆษณา 4 รูปแบบใหญ่ ๆ ด้วยกัน เช่น Search Ads, Discovery Ads, Shop Ads และ Boost Ads ซึ่งในบทความนี้จะไม่นับรวม Affiliate Ads เราจะพาไปทำความเข้าใจในโฆษณาแต่ละประเภท
1.โฆษณา แบบ Search Ads

โฆษณาแบบ Search Ads ก็ตรงตัวเลยว่าเป็นโฆษณาเพื่อให้ตอบโจทย์การค้นหา ต้องมีการค้นหาก่อนถึงจะแสดงโฆษณา แน่นอนว่าจุดสำคัญมาก ๆ ของการทำโฆษณาในรูปแบบนี้คือการเลือกใช้คีย์เวิร์ด โดยเราสามารถเลือกรูปแบบการเลือกคีย์เวิร์ดได้ว่าจะใช้แบบ Auto ที่ระบบเลือกคีย์เวิร์ดให้ หรือเราจะใช้แบบ Manual Keywords ที่เราต้องกำหนดคีย์เวิร์ดเอง หรือพิเศษไปกว่านั้นคือแบบไฮบริด ใช้ทั้ง Auto และ Manual ไปพร้อมกันได้เลย (ซึ่งส่วนตัวใช้แบบนี้อยู่)
จุดเด่นของโฆษณา Search Ads ใน Shopee

จุดเด่นที่สุดของโฆษณา Search Ads ใน Shopee คือเราสามารถใช้งานแบบ Auto และ Manual ไปพร้อม ๆ กันได้ แบบไฮบริด ไม่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเราสามารถเลือกที่เปิดให้ระบบทำงานแบบ Auto เอาไว้ และส่วน Manual นั้นใส่เฉพาะคีย์เวิร์ดสำคัญไว้ก็พอ และเราสามารถกำหนดราคาของ Manual ได้เองอีกด้วย ถ้าต้องการให้คีย์เวิร์ดแบบที่เราเลือกเอง Bidding สูงขึ้นแบบอัตโนมัติ ก็เลือกเปิดคุณสมบัติ Enhanced Bidding ปรับราคาประมูลอัตโนมัติ ซึ่งการเลือกคีย์เวิร์ดใช้งานแบบไฮบริด ทำงานทั้ง 2 แบบร่วมกันคือช่วยอุดรอยรั่วได้ ทำให้เราใช้คีย์เวิร์ดหลัก ส่วนคีย์เวิร์ดรอง ๆ ให้หน้าที่ของ Auto ทำหน้าที่ไป ช่วยให้เกิดการซื้อได้ง่ายกว่าการทำ Manual อย่างเดียว
จุดด้อยของโฆษณา Search Ads ใน Shopee
จริง ๆ จากเท่าที่ใช้มาคือ โฆษณา Search Ads แบบ Auto นั้นดีนะ แต่ส่วนมากจะแบบ Bidding ในราคาต่ำไป ไม่ก็สูงไปเลย สังเกตได้จากที่ว่ารันได้ค่อนข้างน้อย บางทีใช้เงินได้ไม่หมดด้วย แต่ในบางกรณีอย่างใกล้วัน Double Day ก็เกิดราคา CPC พุ่งเอาเรื่องเหมือนกัน เลยแก้ไขเบื้องต้นคือใช้โฆษณา Manual ช่วย แต่ถ้าเลือก Enhanced Bidding บางที่ก็เพิ่มเยอะเกินไปมาก เรียกว่าความพอดีไม่ค่อยจะมีเท่าไร แต่ก็ยังคงแนะนำให้ทำ Search Ads เป็นลำดับแรก ๆ อยู่
2.โฆษณา แบบ Discovery Ads

โฆษณาแบบ Discovery ของ Shopee จะแสดงในส่วนของหน้าแรก และหน้า Product Detail ที่เป็นสินค้าแนะนำอื่น ๆ โดยจะมีแสดงสัญลักษณ์ Ad อยู่ที่มุมขวาล่างของรูปสินค้านั้น ซึ่ง Discovery Ads สามารถใช้งานได้โดยที่ไม่ต้องรอให้คน Search หรือค้นหาก่อน ซึ่งแตกต่างจาก Search Ads โดยสิ้นเชิง
จุดเด่นของโฆษณา Discovery Ads ใน Shopee
จุดเด่นที่สุดคือ โฆษณา Discovery เหมือนเป็นการค้นหาลูกค้าใหม่ เพื่อเปิดโอกาสการขายได้มากขึ้น โดยเราสามารถตั้งค่าแบบประมูลอัตโนมัติ หรือประมูลด้วยการกำหนด Bidding ด้วยตัวเองได้ (ส่วนตัวใช้คละกันขึ้นอยู่กับสินค้า) โดยจุดเด่นสุดคือการแสดงสินค้า (Impression) จะสูงกว่า Search มาก และ CPC ราคาต่อคลิกก็ต่ำ ดังนั้นจึงค่อนข้างเหมาะกับสินค้าที่มีราคาไม่สูงมากนัก เพราะไม่ต้องคิดเยอะในการซื้อสินค้าชิ้นนั้น ๆ ทำให้เกิดการขายได้
จุดด้อยของโฆษณา Discovery Ads ใน Shopee
แน่นอนว่าจุดด้อยของ Discovery Ads นั้นก็มี ข้อแรกเลยคือการใช้เงินเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก ทำให้ถ้าเราควบคุม Budget ไม่ดี หรือคุมราคา Bidding ไม่ได้ จะทำให้โฆษณานั้นใช้เงินสูงเกินไป ไม่ก็ใช้เงินที่เราตั้งค่าไว้หมดไปอย่างรวดเร็ว (ลองเช็คดูเป็นรายโฆษณา โฆษณามักจะมี Impression สูงหลังช่วงเที่ยงคืน และเมื่อเงินหมด โฆษณาจะไม่แสดงในระหว่างวัน) แน่นนอนว่าวิธีนี้แก้ไขได้โดยใช้ Discovery Ads แบบปรับราคาประมูลอัตโนมัติ ไม่ก็ปรับราคา Bidding ให้ต่ำลง
และจากประสบการณ์ตรง Discovery Ads ยิ่งในหลายสินค้ามาก ก็จะใช้เงินเยอะ ควบคุมเงินได้ยาก และเมื่อดูเป็น ROAS ก็มักจะต่ำกว่าโฆษณาแบบ Search Ads พอสมควร แต่กลับกันกับสินค้าที่มีราคาไม่แพง หรือราคาไม่สูงมากนัก Discovery Ads กลับทำงานได้ดี สามารถสร้าง GMV ได้ในระดับที่น่าพอใจ คิดว่าน่าจะมาจากพฤติกรรมของผู้ซื้อ เพราะสินค้าที่ราคาไม่สูงมากนัก เป็นสินค้าที่ไม่ต้องคิดมาก ยิ่งแสดงในส่วนที่สินค้าแนะนำ หรือสินค้าที่คล้ายกันมาให้ จะทำให้ตัดสินใจได้ง่ายกว่านั่นเอง
3.โฆษณา แบบ Shop Ads

ต้องอธิบายก่อนว่าโฆษณาแบบ Shop Ads นั้นเป็นส่วนหนึ่งของโฆษณา Search Ads โดยเลือกที่ สร้างโฆษณา Search Ads แล้วเลือกโฆษณาแบบ Shop ซึ่งจะแสดงผลเมื่อมีคนค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดที่เราตั้งค่าไว้ หรือแบบอัตโนมัติ โดยแสดงเป็นชื่อร้านของเราที่เรากำหนดไว้ ซึ่งโฆษณาตรงนี้ช่วยให้เกิดการติดตาม หรือเข้ามาดูในร้านค้ามากกว่าที่จะขายสินค้าโดยตรง (ซึ่งโฆษณารูปแบบนี้ทางฝั่ง Lazada ไม่มี)
จุดเด่นของโฆษณา Shop Ads ใน Shopee
เป็นรูปแบบโฆษณาที่คู่แข่งอย่าง Lazada ไม่มี ซึ่ง Shop Ads เองมีแนวโน้มที่จะช่วยกระจายให้สินค้าใยร้านของเราขายดีมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถช่วยสร้างผู้ติดตามให้สุงขึ้นได้ด้วย ถ้าเราสร้างโปรโมชันเมื่อกดติดตามแล้วรับส่วนลด ทั้ง 2 แบบ นี้จะทำงานร่วมกันได้ดีมาก และยังสามารถสร้างยอดขายทางอ้อมได้
จุดด้อยของโฆษณา Shop Ads
สิ่งที่เป็นจุดด้อยของโฆษณารูปแบบนี้คือการสร้าง Direct GMV อาจจะไม่เหมาะนัก (Direct GMV คือการที่สินค้านั้นถูกโฆษณา และมีเกิดการซื้อสินค้านั้นโดยตรง ก็จะเรียกว่า Direct GMV) เพราะมักจะช่วยทำให้เกิด Store Wide GMV มากกว่า (Store Wide GMV คือการที่คลิกที่โฆษณานั้น แล้วไปซื้อสินค้าอื่นในร้านแทน) ซึ่ง Shop Ads ทำตรงนี้ได้ดีกว่า Direct GMV
4.โฆษณา แบบ Boost Ads

เป็นโฆษณาที่รวมจุดเด่นของทั้ง Search Ads และ Discovery Ads ไปได้พร้อมกัน คือโชว์ทั้งเมื่อเกิดการค้นหา และแสดงในส่วนของ Discovery เองด้วย ซึ่งทุกอย่างเป็นไปแบบอัตโนมัติ โดยเราไม่ต้องใส่คีย์เวิร์ด ไม่ต้องใส่ราคาประมูล โดยระบบจะจัดการให้เอง แต่เรายังสามารถควบคุม Budget งบประมาณ และวันได้ตามปกติ เลือกเป็น Daily Budget หรือ Total Budget ได้ เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา หรือมีสินค้าเป็นจำนวนมาก ให้ระบบช่วยคิดให้ดีกว่า
ซึ่ง Boost Ads จะสร้างได้ก็ต่อเมื่อ เราต้องไม่มีการใช้งาน Search Ads และ Discovery Ads แบบประมูลอัตโนมัติพร้อมกันในสินค้าแบบเดียวกัน ถ้าเราใช้ Search Ads หรือ Discovery Ads อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการประมูลอัตโนมัติ อีกอันเป็นแบบ Manual ก็สามารถสร้าง Boost Ads ได้
จุดเด่นของโฆษณา Boost Ads ใน Shopee
ระบบคิดให้เองว่าจะช่วยให้เกิดการซื้อได้ และยังคิดราคาประมูลให้เราอย่างเหมาะสม สำหรับส่วนตัวแล้ว สินค้าไหนที่ใช้ Search และ Discovery ไม่เวิร์คทั้งคู่ แต่ถ้ามาใช้ Boost Ads ก็ได้ GMV เยอะกว่าปกติ และยิ่งสินค้าไหนที่ขายดีมาก ๆ ยิ่งใช้ Boost Ads ร่วมด้วยก็ทำให้ขายดียิ่งขึ้นไปอีก หรือจะใช้เสริมจาก Search Ads และ Discovery Ads ก็ได้
จุดด้อยของโฆษณา Boost Ads ใน Shopee
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า การที่เราจะสร้าง Boost Ads ได้นั้น ต้องไม่มีการใช้งาน Search Ads และ Discovery Ads แบบประมูลอัตโนมัติทั้งคู่พร้อมกัน ในสินค้าเดียวกัน ระบบจะไม่ให้สร้าง Boost Ads สินค้านั้น และยังมีการที่ปรับ Daily Budget แบบ เลือกหลาย ๆ ชิ้น ไม่ได้ ปรับได้แต่ Total Budget (อันนี้ฝาก Shopee ไปด้วย เพราะชีวิตลำบากมาก ต้องมานั่งกดปรับทีละสินค้า มันเหนื่อยและท้อเหลือเกินรู้ไหม)
เปรียบเทียบ Shopee Ads แล้ว จะเลือกใช้โฆษณาแบบไหนดี
ส่วนตัวนั้นให้พิจารณาจากความพร้อมของตัวเราเองก่อน ว่ามีงบประมาณทำโฆษณาเท่าไร แล้วจัดทำแผน โดยเฉพาะยิ่งเป็น Daily Budget ได้ยิ่งดี และเริ่มจากปริมาณเงินที่ไม่มาก เลือกรูปแบบโฆษณาที่ตัวเองอยากทำก่อนก็ได้ และทำไปพร้อม ๆ กัน กับสินค้าที่ขายดี แล้วค่อยวัดผลว่าโฆษณารูปแบบไหนที่ช่วยให้เกิด GMV และ ROAS ได้สูง ก็อาจจะพิจารณารูปแบบโฆษณานั้นไปยังสินค้าอื่น ๆ ได้ ทั้งหมดนี้ต้องทดลองทำครับ
ติดตามเรื่องราว Digital Marketing จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, Twitter, Line Official Account, Instagram, Spotify, YouTube, Apple Podcast
ธนาคาร เลิศสุดวิชัย x Digital Break Time