ทำ Affiliate Marketing เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการทำ Digital Marketing ยอดฮิตในปัจจุบันเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนบนโลก Social Media ก็ต่างจะมีคนแปะลิงก์เอาไว้เพื่อรับค่าคอมมิชชันกันเป็นจำนวนมาก
และเมื่อ ทำ Affiliate Marketing นั้นบูมขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นทางฝั่งแบรนด์เอง ฝั่งแพลตฟอร์มผู้ให้บริการ Affiliate Marketing รวมไปถึงฝั่ง KOL และ Influencer ต่างมีบทบาทร่วมกัน เพื่อขับเคลื่อเทรนด์ของ Affiliate Marketing ให้ก้าวไปข้างหน้า ทาง Digital Break Time เลยจะมาวิเคราะห์ว่าผลกระทบจากการทำ Affiliate Marketing ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นจะเป็นอย่างไร และต้องบอกก่อนว่านี่คือบทความวิเคราะห์ส่วนตัวจากผู้เขียนเองเท่านั้น
ทำ Affiliate Marketing วิเคราะห์เทรนด์ จะไปได้ไกลแค่ไหน
- ความน่าเชื่อถือของ KOL และ Influencer ลดลง
- ในอนาคต ความโปร่งใสในการทำคอนเทนต์ จาก KOL และ Influencer จะมีความสำคัญ
- การจ้างงานโดยตรง KOL และ Influencer ที่มีผู้ติดตามไม่มากจะลดลง
- Affiliate Marketing จะเป็นหนึ่งในแผนที่ต้องมี ไม่ใช่ตัวสำรองอีกต่อไป
- ค่าบริการ Affiliate Marketing จะมีแนวโน้มสูงขึ้นด้วย
- สรุป เทรนด์ ทำ Affiliate Marketing ในอนาคตจะเป็นอย่างไร
ความน่าเชื่อถือของ KOL และ Influencer ลดลง

พอมีการใช้ Affiliate Marketing เป็นจำนวนมากในเหล่า KOL และ Influencer ต้องบอกเลยว่าเงินก็คือแรงจูงใจหนึ่งที่ทำให้เกิดคอนเทนต์ต่าง ๆ ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นคอนเทนต์แนะนำสินค้า การรีวิวต่าง ๆ พอดีการแปะลิงก์ URL Affiliate เอาไว้ และเมื่อมีการซื้อสินค้าผ่านลิงก์ เจ้าของคอนเทนต์นั้นก็รับค่าคอมมิชชันกันไป
ทั้งหมดนี้ต้องบอกเลยว่าผู้บริโภคจำนวนมากดูออก แต่ว่าเส้นความชัดเจนของการทำคอนเทนต์ที่เป็นรีวิวจริง แนะนำจริง เพราะเกิดจากการใช้งานจริง หรือว่าเป็นแค่คอนเทนต์แบบฉาบฉวยที่ทำออกมาอย่างรวดเร็วเพื่อเน้น Engagement และให้เกิดการสั่งซื้อเท่านั้น ผลที่ตามมานั้นจะทำให้เกิดผลเสียทีหลีกเลี่ยงได้อยาก นั่นคือความน่าเชื่อถือของ KOL และ Influencer ลดลงเป็นอย่างมาก ซึ่งต้องบอกก่อนว่า KOL และ Influencer นั้นมี Engagement สูงกว่าแบรนด์เป็นเพราะความน่าเชื่อถือตรงนี้เอง แต่พอความน่าเชื่อถือลดลง แน่นอนว่าภาพรวมของ Engagement ของ KOL และ Influencer ก็จะลดลงเช่นเดียวกัน
ในอนาคต ความโปร่งใสในการทำคอนเทนต์ จาก KOL และ Influencer จะมีความสำคัญ
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะยังไม่มีหน่วยงานที่รับรองการทำคอนเทนต์กับ Influencer ว่ามีความโปร่งใสเพียงใด แต่คาดว่าในอนาคต ผู้เสพคอนเทนต์อย่างเรา ๆ เอง ก็ต้องการความโปร่งใสมากขึ้น แน่นอนว่าคนที่จะเริ่มก็มักจะเป็น Influencer และ KOL ที่ได้รับจ้างมา ก็จะบอกตรง ๆ ว่าเป็น Paid Content หรือ Sponsored Content ส่วนคอนเทนต์ไหนที่มีลิงก์ Affiliate ก็จะแจ้งไว้เลยว่า นี่คือลิงก์ Affiliate เพื่อความโปร่งใสหรือต้องการสนับสนุนให้กับครีเอเตอร์เหล่านั้น
และสุดท้ายถ้าเป็นคอนเทนต์ที่รีวิวสินค้าหรือบริการด้วยใจจริง ไม่มีค่าตอบแทนใด ๆ อาจจะแจ้งไว้เลยว่าเป็นการรีวิวสินค้าบริการแบบไม่ได้รับค่าจ้างในทางตรงและทางอ้อม ทั้งหมดนี้ส่วนตัวเองคือว่าจะเห็นมากขึ้น สำหรับเหล่า Creator, Influencer, KOL ที่ต้องการความโปร่งใสให้กับตัวเองเป็นหลัก และก็จะดีกับผู้ติดตามและผู้เสพคอนเทนต์ด้วย
การจ้างงานโดยตรง KOL และ Influencer ที่มีผู้ติดตามไม่มากจะลดลง

อย่างที่กล่าวไปเบื้องต้นว่า Affiliate Marketing จะทำให้เกิดคอนเทนต์มากขึ้น ซึ่งกลุ่มที่ทำคอนเทนต์มากขึ้นก็มักจะเป็น User ทั่วไปที่ต้องการหารายได้เสริม รวมไปถึง KOL และ Influencer ระดับเล็กที่มีผู้ติดตามไม่เยอะมาก เช่นระดับ Micro และ Nano คนที่มีผู้ติดตามหลักหมื่น
ทางแบรนด์ที่ ทำ Affiliate Marketing นั้นก็แทบจะไม่จำเป็นที่จะต้องเลือก KOL และ Influencer ระดับเล็กอีกเลย เพราะว่าพอมีการทำ Affiliate Marketing แล้ว คนเหล่านี้ก็จะหยิบจับสินค้าของตัวเองไปรีวิวให้เองอยู่แล้ว ถ้าขายได้ก็รับเงินค่าคอมมิชชันกันไป ดังนั้นการจ้าง KOL และ Influencer ขนาดเล็กโดยตรงจากแบรนด์ จะลดลง
แต่ว่าถ้าเป็น KOL และ Influencer ที่มีขนาดใหญ่ ผู้ติดตามเป็นล้านคนขึ้นไป แน่นอนว่าทางแบรนด์ก็อาจจะต้องมีการจ้างตรงอยู่ เพราะ KOL และ Influencer ที่มีผู้ติดตามเยอะมักจะไม่ค่อยทำ Affiliate Marketing เพราะเรื่องภาพลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ต้องการให้ Engagement ตกนั่นเอง
Affiliate Marketing จะเป็นหนึ่งในแผนที่ต้องมี ไม่ใช่ตัวสำรองอีกต่อไป
ใครที่เป็น Planner หรือเป็น Digital Marketing Specialist (อย่างทาง Digital Break Time เอง) เมื่อได้เห็นหลังบ้านแพลฟอร์มที่ทำ Affiliate โดยตรงอย่าง Shopee, Lazada หรือ TikTok จะเห็นยอดค่าใช้จ่ายและยอดขายจากการ ทำ Affiliate Marketing บอกเลยว่า ROAS คุ้มค่ามาก มากกว่าช่องทางอื่น ๆ เสียด้วยซ้ำ
ROAS สูง คุ้มค่าการทำการตลาด มีหรือที่จะไม่ใส่ลงในแผน ดังนั้นไม่ว่าจะหันมองไปทางไหน ใครที่ขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์ม และต้องการทำโฆษณา รวมไปถึงเอเจนซี่ต่าง ๆ ก็พร้อมที่จะนำ Affiliate Marketing เข้าไปอยู่ในแผนกันแน่นอน และไม่ใช่แค่เพียงใส่ไปนิดหน่อย ๆ แบบช่วงก่อนหน้าหลายปีที่ผ่านมา แต่กลับกันมีงบให้จัดเต็ม เพราะเห็นยอดขายที่ได้กลับมาคุ้มค่านั่นเอง เรียกได้ว่าเป็นการจัดสรรงบค่าโฆษณาที่เน้น ROAS อย่างเห็นได้ชัด
ค่าบริการ Affiliate Marketing จะมีแนวโน้มสูงขึ้นด้วย

ในตอนนี้ค่าบริการของ Affiliate Marketing สำหรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เหล่าแบรนด์จะต้องจ่ายให้ ถ้าจะ ทำ Affiliate Marketing ฝั่ง Shopee จะเริ่มต้นที่ 7% ของราคาสินค้าที่สั่งซื้อ Lazada จะเริ่มต้นที่ 4% และ TikTok Shop จะยังไม่ได้กำหนดเรตค่าคอมมิชชันขั้นต่ำ
จะเห็นได้ว่าไม่เท่ากันก็จะ แต่จริง ๆ แล้ว ช่วงปีที่แล้ว (2023) ค่าบริการ Affiliate Marketing ของ Shopee จะอยู่ที่ 4% เท่ากับ Lazada แต่ทว่าเมื่อต้นปี 2024 ที่ผ่านมานั้นได้ปรับเพิ่มเป็น 7% เป็นที่เรียบร้อย นั่นหมายความว่า แพลตฟอร์มอื่น ๆ ก็อาจจะเห็นลู่ทางตรงนี้เพื่อเก็บค่าบริการที่สูงขึ้น
แค่นั้นยังไม่พอ ไม่เพียงเฉพาะแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซเท่านั้นที่ ทำ Affiliate Marketing ได้ แต่ยังมีอีกหลายแพลตฟอร์มเลยที่ให้บริการทางด้านนี้แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ เช่น Accesstrade ที่เน้นให้บริการ ทำ Affiliate Marketing หลายแบบ แต่ที่นิยมมาก ๆ เลยคือบัตรเครดิต และประกัน รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงิน และเว็บไซต์ของแบรนด์ต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็อาจจะกล่าวได้ว่าน่านน้ำนี้มีคนมาใช้บริการเยอะขึ้น แต่ผู้ให้บริการน้อยราย ก็อาจจะเกิดการขึ้นราคาของ Affiliate Marketing ได้
สรุป เทรนด์ ทำ Affiliate Marketing ในอนาคตจะเป็นอย่างไร
อย่างที่กล่าวไปในข้อก่อนหน้า ว่าเทรนด์เหล่านี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนตัวเท่านั้น ไม่ได้เป็นการชี้นำแต่อย่างใด แต่การที่ทำงานในวงการนี้ก็พอที่จะทำให้เห็นได้หลายอย่าง ซึ่งเมื่อตลาดบูม ก็มีแนวโน้มสูงที่หลายแพลตฟอร์มจะขึ้นราคาให้บริการ Affiliate Marketing ซึ่งถึงแม้จะขึ้นค่าบริการก็จริง แต่อย่าลืมว่า Affiliate Marketing นั้นทางแบรนด์จะจ่ายเงินตามที่ลูกค้าได้ชำระเงินและซื้อของนั้นจริง จะต่างจากการทำโฆษณารูปแบบอื่น ที่จะต้องจ่ายเงินก่อน แต่ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็บอกได้ยาก ต้องเรียกได้ว่าจุดแข็งของ Affiliate Marketing เป็นจุดที่เครื่องมืออื่นในการทำ Digital Marketing ยากที่ต่อกรในด้านนี้ได้ แต่ก็ต้องเข้าใจว่า แต่ละเครื่องมือนั้นมีจุดเด่นและจุดประสงค์ที่ไม่เหมือนกัน
ติดตามเรื่องราว Digital Marketing จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, X, Line Official Account, Instagram, Spotify, YouTube, Apple Podcast
ธนาคาร เลิศสุดวิชัย x Digital Break Time