วิธี Optimize GDN และ Demand Gen โฆษณา Google Ads นั้นหลายคนอาจจะมองว่าทำโฆษณาค่อนข้างยุ่งยากระดับหนึ่ง และอาจทำให้คิดไปว่าการ Optimize ปรับประสิทธิภาพโฆษณายุ่งยากไปด้วย แต่ในความเป็นจริงแล้ว การ Optimize นั้น ทำได้ง่ายพอๆ กันกับ Meta Ads เพียงแต่อาจจะมีความแตกต่างกันบ้างในรายละเอียด
ซึ่งคอนเทนต์นี้แน่อนว่าเกิดจากคอมเมนต์ใน YouTube ของช่อง Digital Break Time ได้ขอมา ทางเราเลยคิดว่ามีประโยชน์เลยทำคอนเทนต์นี้ออกมานั่นเอง และได้เขียนรวบทั้งการ Optimize ของ GDN และ Demand Gen ไปด้วยเลย เพราะมีความคล้ายคลึงกันในระดับหนึ่ง ซึ่งการ Optimize นั้นจะเขียนเป็นแนวทางกว้าง ๆ ที่สามารถทำได้ เช่น
วิธี Optimize GDN และ Demand Gen ของ Google Ads ทำอย่างไรได้บ้าง
- วิธี Optimize GDN และ Demand Gen เลือก Goal Conversion ให้ถูกต้อง
- ทำ Creative ให้ตรงกับขนาดที่ต้องการ ตัวหนังสือชัด และพยายามทำ Ad Strength ให้เป็น Excellent ยิ่งดี
- การเลือก Demographic ก็สำคัญ พยายามเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบ Unknown ร่วมด้วย
- Where Ad Showed ลองเข้าไปดูหน่อยว่าตรงนี้แมทช์กับกลุ่มเป้าหมายหรือเปล่า
- เช็ค Audience Insight ลองดูว่ากลุ่มเป้าหมายที่สนใจเราจริง ๆ นั้นเป็นกลุ่มไหน นำมาปรับเพิ่มในกลุ่มเป้าหมาย Signal ได้
- สรุป วิธี Optimize GDN และ Demand Gen ของ Google Ads
วิธี Optimize GDN และ Demand Gen เลือก Goal Conversion ให้ถูกต้อง

เป็นวิธีแรกเลย เพราะว่าหลายคนมักละเลยตรงจุดนี้ สร้างแคมเปญ มีแบบ Default ให้ยังไง ก็เลือกแค่นั้น การเลือก Conversion นั้น ก็ต้องตอบจุดประสงค์ในการทำโฆษณาเลย ลองถามใจตัวเองว่าแคมเปญนี้ เราต้องการอะไรมากที่สุด เช่น
- ถ้าเราต้องการจำนวน Conversion สูงสุด และเป็น Conversion ที่คล้ายกัน ก็ใช้ Conversion รวมกัน เป็น Goal ได้
เช่นถ้าเราต้องการ Conversion ที่เน้นการติดต่อเป็นหลักเพื่อให้ได้ Lead เช่นกดโทร กดไลน์ กด WhatsApp ต่าง ๆ เราก็สามารถใช้ Conversion เหล่านี้เป็น Goal ได้เลย และสามารถเลือกการ Bidding เป็นแบบ Maximize Conversions ได้ เมื่อทำโฆษณาไปสักระยะ เราสามารถปรับค่า Target CPA เพื่อให้ได้ Cost per Conversion ลดลง และได้ Conversion สูงขึ้น - ถ้าลำดับความสำคัญของ Conversion ไม่เท่ากัน ใช้ Maximize Conversion Value ดู
Conversion โดยปกติของการทำ Lead มักจะไม่นิยมใส่ Value แต่ถ้าใครต้องการจัดลำดับความสำคัญของ Conversion ก็ให้เลือก Value สูงๆ กับ Conversion ที่สำคัญ เวลาทำโฆษณาแล้วปรับเป็นเน้น Maximize Conversion Value ก็จะเป็นการหา Lead ที่เน้นเรื่องของความสำคัญไปโดยปริยาย ก็เหมือนกับที่เราให้คะแนนของแต่ละ Conversion นั่นเอง จริงๆ Digital Break Time เคยเขียนรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแล้ว คลิกอ่านที่นี่ - ถ้าไม่ต้องการ Conversion ลองเลือกเป็น เน้น Click หรือเน้น Awareness (GDN)
หลายคนอาจจะมอว่าในปัจจุบันนี้ มีหลายคนที่ทำโฆษณาไม่เน้น Conversion ด้วยหรอ ซึ่งก็มีนะเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าจุดประสงค์ของการทำโฆษณานั้นไม่เหมือนกัน ดังนั้น ถ้าเราไม่ได้เน้นเรื่อง Conversion เลย ก็สามารถปรับจุดประสงค์ของการทำโฆษณาเป็นแบบ Maximize Clicks ได้ (GDN) ส่วน Demand Gen นั้นก็เลือก Clicks แทน หรือถ้าถ้าการเน้นเรื่องของ Awareness เน้นโชว์โฆษณาเยอะ ๆ ส่วนของ GDN จะมีให้เลือกเป็น Viewable CPM ก็ทำได้เช่นกัน - ฝั่ง eCommerce ก็ให้เลือกว่า เน้น Maximize Conversion หรือ Maximize Conversion Value
ส่วนมากใครที่ทำเพื่อเน้นขายของบนเว็บไซต์อย่าง eCommerce ก็มักจะเน้นเรื่องของ Goal เป็น Purchase เป็นหลัก ก็เลือกเอาว่าจะเน้นให้ได้การซื้อจำนวน Order เยอะ ๆ ก็เลือกเป็น Maximize Conversion หรือ ถ้าต้องการยอดราคาสินค้าสูงก็เลือกเป็น Maximize Conversion Value ก็ทำได้ตามสะดวก
แต่การตั้งค่า Goal เป็น Add to Cart นั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติแต่อย่างใด หลายที่ก็ใช้งานเพราะต้องการให้คนเพิ่มเข้าตะกร้าก่อนที่จะถึงวันแคมเปญ แต่ก็แนะนำให้สร้างแคมเปญ Add to Cart แยกกันต่างหากกับ Purchase อย่างชัดเจน เพื่อให้เราบริหารแคมเปญได้ง่ายขึ้น
ทำ Creative ให้ตรงกับขนาดที่ต้องการ ตัวหนังสือชัด และพยายามทำ Ad Strength ให้เป็น Excellent ยิ่งดี
เรื่องต่อมาคือเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือเรื่องของ Creative ถ้าเป็นรูปแนะนำเลยว่าพยายามใส่ Size ให้ครบตามที่ Google Ads แนะนำ เพราะยิ่งเราใส่ Size ครบเท่าไร เราก็จะมีโอกาสที่จะโชว์โฆษณาใน Placement ที่ครบ และได้คะแนนของ Ad Strength สูงขึ้น อีกนิดนึงที่ควรพิจารณาเพิ่มเติมนั่นคือการใช้รูปที่มีข้อความในรูป สิ่งที่ควรจะต้องทำเลยคือ ตัวหนังสือต้องเด่นชัด เมื่ออ่านจากหน้าจอมือถือ เนื่องจากว่าการทำโฆษณาในปัจจุบันนั้น มักจะแสดงมุ่งเน้นไปในส่วนของ Mobile มือถือเป็นหลัก อาจจะเป็น 80-90% ของ Impression รวมเลยทีเดียว ดังนั้น การที่ตัวหนังสือจะโชว์บนรูปต้องโดดเด่นพอ คืออ่านง่าย ชัดเจน จับใจความได้ในทันทีว่าต้องการจะสื่ออะไร ข้อความไม่ยาวจนเกินไป เพราะถ้าข้อความยาวนั้นจะทำให้ตัวหนังสือหดเล็กลงไปอีก
อีกนิดนั่นคือการทำโฆษณา Ad Strength เป็น Excellent ให้ได้ โดยการใส่ Headline, Description ให้ครับ ใส่รูปไปจำนวนหนึ่ง และถ้ามีวิดีโอได้ด้วยยิ่งดี เมื่อโฆษณา Ad Strength ให้เป็น Excellent นั่นหมายความว่าเรามีความหลากหลายของ Creative Assets จะช่วยให้ Google Ads นำส่งได้ดียิ่งขึ้น
แต่ถึงแม้จะทำ Ad Strength ให้เป็น Excellent แล้ว ก็อย่าลืมทำ A/B Testing ส่วนของ Ads เข้าไปด้วย ควรจะมี Ads ที่ 2 เพื่อให้ Google Ads และระบบเลือกสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด แล้วลองเปรียบเทียบ Conversion ว่า Ads ไหนทำได้ดีกว่ากัน อย่างน้อยก็ยังดีกว่าการที่ไม่มีตัวเลือกเลย
การเลือก Demographic ก็สำคัญ พยายามเลือกกลุ่มเป้าหมายแบบ Unknown ร่วมด้วย
การเลือกกลุ่มเป้าหมายเพื่อควบคุม Demographic นั้นเป็นเรื่องหลายคนทำอยู่แล้ว แต่การควบคุมมากเกินไปเช่นจำเป็นที่จะต้องช่วงอายุเท่านี้ เพศใดเพศหนึ่ง รวมไปถึงรายได้ การที่เรามุ่งเน้นกับเรื่องนี้มาก ๆ แล้วตัดในส่วนที่เป็น Unknown ออกไป นั่นก็หมายความว่ากลุ่มเป้าหมายเราจะแคบลงเรื่อย ๆ กลายเป็นว่าเราจะพลาดโอกาสทำโฆษณาในส่วนที่คนอาจจะเป็นลูกค้าของเราได้ เพียงเพราะว่า Google นั้น อาจมีข้อมูลไม่เพียงพอแล้วถึงจัดกลุ่มใน Unknown นั่นเอง
แล้วทำไมถึงต้องเก็บกลุ่มที่เป็น Unknown ไว้ด้วย เราก็ต้องเกริ่นก่อนว่า Unknown นั้นเป็นกลุ่มที่มีมากที่สุดของ Google Ads ในประเภทกลุ่มเป้าหมายแบบ Demographic เลยก็ว่าได้ เนื่องจากว่า Google นั้นไม่ใช่ Social Media เลยทำให้ข้อมูลที่จะได้มานั้นไม่เพียงพอต่อการวิเคราะห์ ลองคิดถึงในแง่ของความเป็นจริง หลายคนอาจจะใช้แค่ Email ของ Google ก็ทำให้ได้ข้อมูลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ยังมีอีกมากที่หลายคนใช้บริการของ Google โดยที่ไม่ได้ระบุตัวตนอย่างชัดเจน หรือไม่ได้ล็อกอินด้วย Gmail เช่นการใช้ Google Search แบบทั่วไป หรือการที่ระบบปฏิบัติการ iOS จำกัดการ Tracking การเข้าถึงของแอปต่าง ๆ ทั้งนี้เลยทำให้ข้อมูลไม่เพียงพอต่อการจัดข้อมูล เลยกลายเป็นว่า กลุ่ม Unknown จะเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด และอาจเป็นกลุ่ม Targeting ที่เราตามหาอยู่ด้วยก็ได้
ดังนั้นแนะนำเลยว่าการเลือก Demographic ต่าง ๆ นอกเหนือจากเลือกกลุ่มที่เราต้องการแล้ว ก็อย่าลืมเลือก Unknown เข้าไปด้วย เพื่อนให้โฆษณาเข้าถึงในกลุ่มคนที่เราอาจเอื้อมไม่ถึงถ้าเราตัดออกไป
Where Ad Showed ลองเข้าไปดูหน่อยว่าตรงนี้แมทช์กับกลุ่มเป้าหมายหรือเปล่า

เลือกดูได้จาก เลือกแคมเปญที่เราต้องการ > Insights and Reports > When and Where Ads Showed > Where Ads Showed จากนั้นก็มานั่งดูว่า เรามี Placement แปลก ๆ แค่ไหน ดูแล้ว Placement นี้ที่ดูแล้ว ไม่น่าจะใช่ รวมไปถึงดูที่จำนวน Conversion ประกอบ ให้เลือกดูว่า Placement นี้ดูแล้วไม่เกี่ยวข้องกับเรา ทำให้ใช้เงินไม่ได้ประสิทธิภาพ ก็สามารถเลือก Placement แล้วทยอย Exclude ออกไปก็ได้ ทั้งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องมาดูบ่อย แค่อาทิตย์ละครั้งก็โอเคแล้ว
จากประสบการณ์ที่เจอ อย่างเราทำ GDN มุ่งหากลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มครอบครัวเป็นหลัก เน้นอายุวัย 25-55 ปี ซึ่งพอมาเช็คว่าโฆษณาของเราโชว์ที่ไหน Where Ads Showed เลยกลายเป็นว่าเจอ Placement ที่เกี่ยวกับเด็กค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นโชว์ในเกม โชว์แชนแนลยูทูปนี่เน้นเด็ก ๆ ก็ค่อนข้างแปลกใจ เนื่องจากว่าเราตั้งกลุ่มเป้าหมายผู้ใหญ่ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ แต่ก็ได้ข้อมูล Insights เพิ่มขึ้นมาว่า บางครั้งพ่อแม่ก็นำโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ให้กับลูก ก็กลายเป็นว่ากลุ่มเป้าหมายที่เราตั้งไว้น่ะตรง แต่คนที่เห็นโฆษณาของเรานั้นไม่ใช่ ก็เลยต้องมาใช้วิธี Exclude ส่วนของ Placement ที่เป็นสำหรับเด็กออกไป ก็ช่วยได้เช่นกัน
เช็ค Audience Insight ลองดูว่ากลุ่มเป้าหมายที่สนใจเราจริง ๆ นั้นเป็นกลุ่มไหน นำมาปรับเพิ่มในกลุ่มเป้าหมาย Signal ได้

ส่วนตรงนี้เช็คได้ที่ เลือกแคมเปญที่เราต้องการ > เลือก Insights > เลื่อนลงมาจนเจอ Audience insight แนะนำให้ดูในส่วนของคลิก จะบ่งบอกความความสนใจที่คลิกโฆษณาของเรานั้นเป็นกลุ่มคนที่มีความสนใจอยู่ใน Segment ไหนบ้าง โดยจะบอกในส่วนของ
- Audience Segment และประเภทของ Audience
- Share of Clicks คือคนเปอร์เซ็นต์ของคลิกที่มาจากในแต่ละ Segment
- Index ดัชนีชี้วัด คนกลุ่มนี้ คลิกโฆษณาของเรา มากกว่าคนทั่วไปแค่ไหน เลขยิ่งสูงยิ่งดี ยิ่งมีความสนใจมากขึ้น
ส่วนนี้ก็แนะนำว่าให้ดูส่วนของ Index เป็นหลัก ถ้า Index สูง ก็แนะนำให้สร้างกลุ่มเป้าหมายแยกออกมาเลยต่างหาก จะรวมความสนใจกัน แล้วนำมาทำโฆษณาเลยก็ได้ เพื่อให้โฆษณาของเรามีประสิทธิภาพสูงสุด จากที่ Google Ads ให้ข้อมูลมานั่นเอง เพราะในบางครั้งเราก็อาจจะมองในจุดนี้พลาดไปก็ได้
สรุป วิธี Optimize GDN และ Demand Gen ของ Google Ads
วิธี Optimize GDN และ Demand Gen ทั้งหมดที่เรากล่าวมานี้เป็นเพียงแค่เสี้ยวเล็ก ๆ เท่านั้นของการ Optimize GDN และ Demand Gen ของ Google Ads ที่จะช่วยให้โฆษณาดีขึ้น อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงวิธีที่ทางผู้เขียนเองได้ใช้จริง และใช้บ่อย และเมื่อปรับประสิทธิภาพแล้ว ก็ต้องมาเช็คว่าโฆษณาทำงานดีมากแค่ไหน ดีกว่าเดิมหรือไม่ จากนั้นค่อยมาดู Report กันอีกที ใครที่มีวิธีรีดประสิทธิภาพอื่น ๆ ก็สามารถนำมาแชร์กันได้เช่นกันครับ
ติดตามเรื่องราว Digital Marketing จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, X, Line Official Account, Instagram, Spotify, YouTube, Apple Podcast
ธนาคาร เลิศสุดวิชัย x Digital Break Time