ธุรกิจเอเจนซี่ Digital Marketing เป็นธุรกิจที่ต่อยอดมาจากการเป็นฟรีแลนซ์ ซึ่งมีความแตกต่างค่อนข้างเยอะ สำหรับใครที่เป็นฟรีแลนซ์อยู่ และคิดว่าพร้อมแล้วที่กำลังจะจดบริษัท จะต้องเจอกับอะไรบ้าง
สำหรับเราเอง แน่นอนการจัดตั้งบริษัทเพิ่มเริ่มมาไม่ถึง 2 ปี แต่กับการเป็นฟรีแลนซ์นั้นทำงานมานานมากแล้ว เลยขอรวบรวมความแตกต่างที่จะพบเจอได้ เมื่อเราต้องมาทำธุรกิจเอเจนซี่ Digital Marketing ในรูปแบบบริษัท ว่าต่างจากตอนเป็นฟรีแลนซ์แค่ไหน
ธุรกิจเอเจนซี่ Digital Marketing ทำมาได้สักระยะแล้ว แตกต่างจากตอนเป็นฟรีแลนซ์แค่ไหน
- ควบคุมคุณภาพของงาน ต้องเป็นไปอย่างรัดกุม เพื่อให้งานออกมาดี ไม่ตกมาตรฐาน
- ดูงบการเงิน อ่านกำไรขาดทุน ภาษี และดูเรื่องกระแสเงินสด เพื่อให้บริษัทดำเนินต่อไปได้
- การหาลูกค้าใหม่ และการดูแลลูกค้าเก่าต้องเป็นไปอย่างควบคู่กัน
- อย่าลืมแบ่งเวลามาทำ Digital Marketing ให้ตัวเองบ้าง
- สรุป ธุรกิจเอเจนซี่ Digital Marketing ต้องปรับตัว และแตกต่างหลายอย่างจากตอน เป็น ฟรีแลนซ์มาก
ควบคุมคุณภาพของงาน ต้องเป็นไปอย่างรัดกุม เพื่อให้งานออกมาดี ไม่ตกมาตรฐาน

สำหรับงานตอนฟรีแลนซ์นั้น เราทำงานเพียงคนเดียว มาตรฐานงานทั้งหมดนั้นเราเป็นคนสร้าง และควบคุมออกมาเอง เรียกว่าทุกอย่างมาจากเรา แต่ทว่าเมื่อเราต้องจัดการในรูปแบบบริษัท ถึงแม้จะยังทำอยู่คนเดียวอยู่ก็ตาม แต่สิ่งที่มักจะหลีกหนีไม่ได้เลยคือก็ต้องมีฟรีแลนซ์ที่เข้ามาทำงานร่วมกันด้วย หรือในบางบริษัทก็ต้องจ้างพนักงานประจำมา ดังนั้นคุณภาพของงานจะไม่ได้อยู่ที่เราเพียงคนเดียวอีกต่อไป
สิ่งที่เราจำเป็นต้องทำให้มากขึ้นนั่นคือการควบคุมคุณภาพของงานให้ไปเป็นตามมาตรฐานที่ตั้งเอาไว้ เพราะถ้าคุณภาพไม่ได้ หรือคุณภาพลดลง เราจำเป็นที่จะต้องเรียกคุยกับฟรีแลนซ์ เพื่อให้ข้อเสนอแนะให้งานออกมาตามที่คาดหวัง แต่ถ้าไม่ได้จริง ๆ เราอาจจะต้องลองหาฟรีแลนซ์อื่น เพื่อให้ได้ตามมาตรฐาน แต่แน่นอนว่า เราก็ต้องดูเรื่องราคาร่วมด้วย และไม่เพียงแต่มาตรฐานเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของเวลาด้วย การส่งงานก็ควรจะตรงเวลาด้วย
ดูงบการเงิน อ่านกำไรขาดทุน ภาษี และดูเรื่องกระแสเงินสด เพื่อให้บริษัทดำเนินต่อไปได้
เรื่องเงินเรื่องใหญ่ ธุรกิจของเราจะอยู่รอดได้หรือไม่นั้นเรียกว่าเป็นสิ่งสำคัญ สิ่งที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเลยคือเรื่องเงินเป็นหลัก ต้องเริ่มจากรายได้ก่อน ว่ามีรายได้อย่างสม่ำเสมอหรือไม่ ถ้าไม่สม่ำเสมอจะทำอย่างไรให้ลูกค้าจ้างเราต่อ อาจจะออกเป็นแพ็กเกจที่เหมาะสมสำหรับการทำงานก็ได้ (แต่ต้องบอกก่อนว่าส่วนตัวเองนั้นค่อนข้างสม่ำเสมอ เพราะเป็นบริการที่เน้นทำ Digital Marketing เป็นรายเดือน ด้วยการยิงแอดและทำโฆษณา เพราะถ้าไม่ทำต่อก็อาจจะมีผลต่อยอดขายหรือยอด Lead เหมือนกับบริการ Subscription แต่สำหรับคนที่ทำครีเอทีฟที่เป็นชิ้นงาน เช่นทำ Artworks วิดีโอ ต่างๆ มักจะพบเจอได้บ่อยกว่า เพราะมักจะทำตามจำนวนชิ้นแล้วลูกค้าก็จะหายไป)
พอรายได้แล้ว ก็ต้องมาดูเรื่องของรายจ่ายว่าเป็นไปอย่างสมเหตุสมผลไหม เช่นถ้ามีการจ้างฟรีแลนซ์ ก็ต้องมาดูว่าฟรีแลนซ์คนนั้นมีรายจ่ายเท่าไร และโปรเจ็คนั้นที่ฟรีแลนซ์คนนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงนั้น มีมูลค่าเท่าไร แน่นอนว่ารายได้ก็ควรจะต้องมากกว่ารายจ่ายอยู่แล้ว ส่วนรายจ่ายอื่น ๆ ก็ควรที่จะต้องเกี่ยวข้องกับบริษัทโดยตรง เช่นค่าใช้จ่ายเรื่องค่าโฆษณา ค่าใช้จ่ายฟรีแลนซ์ เงินเดือนให้กับตัวเอง หรืออุปกรณ์สำนักงานที่จำเป็นต้องใช้งานจริง ฯลฯ แต่ไม่ควรเอารายจ่ายส่วนตัวเข้ามาปะปนโดยเด็ดขาด เพื่อให้บริษัทของเรานั้นสะท้อนงบกำไรขายทุนที่แท้จริง และจะวิเคราะห์ธุรกิจของเราได้ง่าย
ต่อมาเป็นเรื่องของภาษีที่ โดยเลือกสำนักงานบัญชีที่เป็นมืออาชีพ ที่เราสามารถสอบถามข้อสงสัย และได้รับคำตอบมาอย่างชัดเจน และการทำงานที่โปร่งใสและตรงเวลา รวมไปถึงเราเองจะต้องศึกษาเรื่องภาษีนี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภ.พ.36 และ 30 ที่สามารถพบเจอได้กับธุรกิจการทำ Digital Agency บ่อยครั้ง เพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น และเกิดความเข้าใจตรงกับกับสำนักงานบัญชีด้วย
รายได้ดี ควบคุมรายจ่ายได้ แต่อย่าลืมมองเรื่องของกระแสเงินสดด้วย เพราะเรื่องของกระแสเงินสดจะทำให้ธุรกิจของเราดำเนินกิจการได้อย่างไม่สะดุด ในธุรกิจเอเจนซี่ หลายคนอาจต้องเจอว่า เราจำเป็นที่ต้องออกเงินค่าทำค่าโฆษณาไปก่อน แล้วค่อยเรียกเก็บกับลูกค้าในภายหลัง แน่นอนว่าในช่วงนี้ให้เครดิตลูกค้านี้ จะทำให้เราอาจติดขัดเรื่องของกระแสเงินสดได้ ถ้าพบว่ายอดโฆษณาสูง ใช้เงินมาก และเรียกเก็บลูกค้าได้ช้า หรือแม้กระทั่งกับฟรีแลนซ์เองที่อาจต้องออกเงินเพื่อมัดจำในการทำงาน หรือต้องจ่ายเงินออกไปก่อน เพื่อให้ได้งาน แล้วต้องรอเก็บกับลูกค้า ก็จะเจอเหตุการณ์เดียวกัน ดังนั้นเพื่อแก้ไขในเรื่องของกรแสเงินสด ลองดูในเรื่องของการลดระยะการให้เครดิตกับลูกค้าบางเจ้าตามความเหมาะสม หรือการที่เราวางบิลกับลูกค้าให้ตรงเวลา การชำระเงินจากลูกค้าที่มีหมุนเวียนกันทั้งเดือน (ถ้าเลือกได้ เช่นลูกค้ารายที่ 1 ชำระต้นเดือน ลูกค้ารายที่ 2 ชำระกลางเดือน ลูกค้ารายที่ 3 ชำระปลายเดือน) ก็จะทำให้กระแสเงินสดมีไว้หมุนเวียนได้อย่างไม่ขาด รวมถึงการจ้างฟรีแลนซ์ ควรเป็นการจ้างที่เราได้งานก่อน แล้วการจ่ายเงินตามมาทีหลัง ทั้งหมดนี้เพื่อกระแสเงินสดของไม่หดหายนั่นเอง
การหาลูกค้าใหม่ และการดูแลลูกค้าเก่าต้องเป็นไปอย่างควบคู่กัน

อย่ามัวแต่ดูลูกค้าเดิม จนลืมหาลูกค้าใหม่ และอย่ามัวแต่หาลูกค้าใหม่ แต่ไม่ดูลูกค้าเดิม จริงทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าเก่านั้น มีความสำคัญไม่แพ้กัน สำหรับลูกค้าเดิม ที่เป็นลูกค้าเรามานาน อย่าคิดว่าลูกค้าเดิมเป็นของตาย พยายามควบคุมคุณภาพงานเพื่อให้งานออกมาอย่างสม่ำเสมอ และยังออกมาดี และอย่าลืมว่าธุรกิจของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เราสามารถนำเสนอเครื่องมือใหม่ ๆ ที่คิดว่าเหมาะกับธุรกิจของลูกค้าได้ เพื่อที่เราจะได้เติบโตมากขึ้น และเป็นการเติบโตเชิงลึก ได้รายได้มากกว่าเดิมจากลูกค้าเก่าด้วย
ส่วนลูกค้าใหม่นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน เพราะลูกค้าใหม่นั้นเป็นการบ่งบอกถึงเรื่องของการเติบโตในเชิงของแนวราบ เพื่อให้เราได้รายได้มากขึ้น แต่แน่นอนว่าการหาลูกค้าใหม่นั้นทำได้ยากและมีค่าใช้จ่ายที่มากกว่าการรักษาลูกค้าเก่าพอสมควร การหาลูกค้าใหม่นั้น ก็จะสัมพันธ์ในเรื่องของหัวข้อถัดไป นั่นคือการที่เราจำเป็นต้องทำ Digital Marketing ให้กับบริษัทเราเองด้วย อีกทั้งลูกค้าใหม่นั้นจะยังช่วยเราขยายประเภทการรับงานในแต่ละธุรกิจใหม่ ๆ ทำให้เราเกิดความเชี่ยวชาญมากขึ้นด้วยในหลากหลายสายงานนั่นเอง
สำหรับธุรกิจของตัวเองนั้น ค่อนข้างจะรับลูกค้าใหม่ค่อนข้างน้อย เนื่องจากว่าเวลาและทรัพยากรของเรามีค่อนข้างจำกัด ดังนั้นอย่างเช่นในปีที่นี้เราได้มีลูกค้าใหม่เพียง 2 เจ้าเท่านั้น ไม่ได้มากเลย ส่วนลูกค้าเก่าเราก็ยังอยู่กันเกือบครับ
แต่ว่าก็มีบ้างที่ไม่ได้ทำต่อด้วยกัน ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดาย แต่เมื่อบาลานซ์กับลูกค้าใหม่แล้ว ก็เรียกว่าเราก็ยังโอเคอยู่ทำให้รายได้เราค่อนข้างคงที่
อย่าลืมแบ่งเวลามาทำ Digital Marketing ให้ตัวเองบ้าง
อันนี้เท่าที่สังเกตคนที่เริ่มทำธุรกิจเอเจนซี่ใหม่ ๆ มักจะให้เวลากับลูกค้าหมด ตั้งใจมากกับงานของลูกค้า อยากให้ออกมาดีที่ดี Performance ออกมาสูงสุดเท่าที่จะทำได้ แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่าลืมธุรกิจเอเจนซี่ของเราเองด้วย เพราะบางทีการให้เวลาลูกค้าจนหมด ก็หมายความว่าเราแทบจะละเลยธุรกิจของตัวเองไปเลย เช่นหน้าเว็บไซต์ก็ไม่มี หรือไม่ได้อัปเดต คอนเทนต์ของตัวเองก็ไม่ได้ทำมาหลายเดือนแล้ว หรือทำโฆษณาทำไปแบบปล่อยผ่าน นาน ๆ เข้าไปดูทีนึง จะกลายเป็นว่างเราปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ดูแลเลย
วิธีการแก้ไขที่ดีนั่นก็คือ ให้คิดเสียว่าธุรกิจเอเจนซี่ของตัวเอง ก็เป็นลูกค้าคนหนึ่ง ที่ต้องมีแผน ต้องมีงบรายเดือน ในแต่ละเดือนที่คิดว่าต้องทำคอนเทนต์อะไรบ้าง จำนวนคอนเทนต์ที่ต้องลงมีเท่าไร รวมไปถึงการวัดประสิทธิภาพการทำโฆษณา ก็ต้องทำรีพอร์ทออกมา เพื่อให้รู้ว่าธุรกิจเอเจนซี่ของเราทำงานแล้วดีหรือไม่ดีอย่างไร ได้ Lead มากน้อยแค่ไหน แก้ไขตรงไหนหรือต้องปรับตรงได้อีก ทั้งหมดนี้ก็จะทำให้ธุรกิจของเราไม่ถูกลืมไปนั่นเอง อย่าลืมว่า ธุรกิจของเราก็ต้องเดินหน้าต่อไปด้วย
สรุป ธุรกิจเอเจนซี่ Digital Marketing ต้องปรับตัว และแตกต่างหลายอย่างจากตอนเป็น ฟรีแลนซ์มาก
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองได้พบเจอ มาจากการทำงานจริง เริ่มทำบริษํทในช่วงแรกเรียกว่าเจออุปสรรคหลายอย่างเลยทีเดียว และต้องมีสิ่งที่เราต้องเรียนรู้หลายอย่าง เช่นในเรื่องของภาษี และเรื่องของการจัดการเงิน การจัดการคน และการรับมือกับลูกค้า แน่นอนว่าใครที่ทำธุรกิจเอเจนซี่ได้ข้อคิดอะไรที่นอกเหนือจากนี้ก็สามารถมาแชร์ให้เรารับรู้ได้เช่นกัน
ติดตามเรื่องราว Digital Marketing จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, X, Line Official Account, Instagram, Spotify, YouTube, Apple Podcast
ธนาคาร เลิศสุดวิชัย x Digital Break Time





