งบ Digital Marketing เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากในการทำการตลาดออนไลน์ หลายคนสงสัยว่า ถ้าใช้งบประมาณ Digital Marketing ต่างกัน ลงเงินมากขึ้น จะได้อะไรมากขึ้น สามารถทำอย่างอื่นได้มากขึ้น หรือผลลัพธ์ที่มากขึ้นจริงหรือไม่
ทั้งนี้ส่วนตัวในฐานะคนที่ทำ Digital Marketing มานานมี ลูกค้าในมือเป็นจำนวนมาก มีทั้งงบเดือนละหลักหมื่น มากจนไปถึงหลักล้านต่อเดือน ทำให้เห็นภาพรวมความแตกต่างการใช้ Budget ว่างบน้อยกับงบมากเป็นอย่างไร แบบไหนที่จริงและไม่จริงกันบ้าง
งบ Digital Marketing งบประมาณมากหรือน้อย แตกต่างกันอย่างไร
- งบมาก สามารถลงได้หลากหลาย Platform ทำได้ครบกว่า จริงหรือไม่
- ลงเงินมาก ได้ผลมากขึ้น เงินน้อย ได้ผลน้อย จริงไหม?
- งบประมาณสูง ก็ทำได้หลาก Targeting และทำ A/B Testing ได้บ่อยครั้ง
- ถ้าจ้าง Influencer จะได้ทั้งจำนวน และได้ Influencer ชื่อดังมากขึ้น
- แล้วควรตั้งงบประมาณการทำการตลาด Digital Marketing ที่เท่าไรดี ?
งบมาก สามารถลงได้หลากหลาย Platform ทำได้ครบกว่า จริงหรือไม่
คำตอบคือจริง งบประมาณยิ่งมาก ในแผน Digital Marketing ในภาพรวมสามารถทำโฆษณาได้หลากหลาย Platform ลองสังเกตโฆษณาจากเจ้าใหญ่ ๆ ที่เป็นที่รู้จัก ช่วงเวลาที่มีแคมเปญ เราแทบจะพบเห็นโฆษณาได้หลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Ad จากโซเชียลมีเดียหลักหรือรอง ๆ ก็ตาม เรียกได้ว่าเห็นได้แทบทุกที่ ที่เราออนไลน์อยู่
แต่ถ้างบประมาณมีจำกัด อย่างธุรกิจ SMEs งบการตลาดออนไลน์ไม่มาก ก็มักจะเลือกการทำการตลาดใน Platform ที่ยอดนิยม หรือมีอากาสที่จะเป็นลูกค้าเราได้สูงสุด มักจะเป็นการทำเพื่อมุ่งเน้นให้ได้ลูกค้าเลย ไม่ค่อยเน้น Awareness มากนัก (ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจด้วย)
ลงเงินมาก ได้ผลมากขึ้น เงินน้อย ได้ผลน้อย จริงไหม?

จริง แต่ไม่ใช่แบบทวีคูณ หลายคนชอบเข้าใจผิดว่าการลงเงินมาก ๆ มักจะได้ผลลัพธ์มากขึ้นเป็นทวีคูณ ซึ่งปัจจัยของผลลัพธ์การทำ Digital Marketing ถึงแม้บางอย่างจะเป็นเรื่องของตัวเลข ยกตัวอย่างเช่น ทำโฆษณาบน Facebook ลงเงินที่ 10,000 บาท ในระยะเวลา 30 วัน ได้คนลงทะเบียนจากโฆษณานั้น ๆ มาที่ 80 Leads ตก CPA 125 บาท แต่ในเดือนถัดไป คุณเพิ่มเงินเป็น 100,000 บาท ใช่ว่าคุณจะได้ 800 Leads กลับมา เนื่องจากมีความแตกต่างทางด้านของ Content เวลา กลุ่มเป้าหมาย คำถามคัดกรองของแบบฟอร์ม ถึงแม้คุณจะควบคุมทุกอย่างให้เหมือนเดิม แต่เวลาเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ อย่างไรก็ตามโอกาสที่จะได้ราคา CPA คงเดิมมีน้อยมาก
ส่วนการถ้ามีงบน้อย แน่นอนว่าผลลัพธ์ก็น้อยตาม ก็เป็นเรื่องจริงอีกเช่นกัน แต่ก็ไม่ใช่ลดลงตามตัวเลขบัญญัติไตรยางศ์ แน่นอนว่าถ้าอยากได้ผลลัพธ์มากขึ้น ก็ต้องใช้งบประมาณที่มากขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นเดียวกัน
งบประมาณสูง ก็ทำได้หลาก Targeting และทำ A/B Testing ได้บ่อยครั้ง
คำตอบนี้ก็จริงกีเช่นกัน เนื่องจากว่าส่วนมากการทำ Digital Marketing โดยใช้เครื่องมือแต่ละแพลตฟอร์มนั้น มักจะมีการกำหนดงบประมาณขั้นต่ำของแต่ละแคมเปญ หรือ Ad Group, Ad Set เอาไว้ ถ้าเรามีงบน้อย เราก็จะไม่สามารถแยกแคมเปญออกมาได้หลาย ๆ แคมเปญ ทำให้การใช้เลือกกลุ่มเป้าหมายทำได้อย่างจำกัดจำเขี่ย เลือกได้ไม่กี่กลุ่มเป้าหมายเท่านั้น แต่ถ้างบเยอะมาก แน่นอนว่าก็จะมีความหลากหลายของการสร้าง Target ได้หลายกลุ่มเป้าหมาย รวมไปถึงการทำ A/B Testing ด้วย เพราะการทำ A/B Testing นั้นต้องมีการแยกแคมเปญหรือ Ad Set หรือจะเทสในรูปของ Ad ก็ตาม ก็ต้องใช้เงินมากขึ้น ใครที่มีงบประมาณสุงก็จะได้แต้มต่อในจุดนี้
ถ้าจ้าง Influencer จะได้ทั้งจำนวน และได้ Influencer ชื่อดังมากขึ้น

จริงสุด ๆ การเลือกใช้งาน Influencer ถ้าเลือกจากจำนวน โดยเฉพาะจำนวนมาก ๆ ถึงแม้ว่าจะเป็น Micro Influencer ก็ตาม ยิ่งมีงบมาก คุณก็จะได้เลือก Micro Influencer มากขึ้น จำนวนเยอะขึ้น แต่ถ้าคุณต้องการจ้าง Influencer ระดับแม่เหล็ก แน่นอนว่ายิ่งอินฟลูเอนเซอร์มีผู้ติดตามมากเท่าไร มีชื่อเสียงมากขึ้น ค่าจ้างยิ่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัวมาก ๆ
แต่กลับกันถ้าคุณมี Budget น้อยมาก ๆ การจ้าง Micro Influencer ก็จะได้น้อยราย ยิ่งผู้ติดตามน้อยอยู่แล้ว แถมจำนวนน้อยตาม แน่นอนว่าผลลัพธ์จากการทำ Influencer ก็จะน้อยลงไปด้วย ทำให้การทำ Digital Marketing ผ่าน Influencer ที่มี Budget น้อยมาก ๆ อาจจะไม่เวิร์กก็เป็นได้
แล้วควรตั้งงบประมาณการทำการตลาด Digital Marketing ที่เท่าไรดี ?
เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบตายตัว สำหรับ SMEs ที่ต้องการทำการตลาดออนไลน์เพื่อหวังผลลัพธ์ ในช่วงแรกอาจจะลองทำก่อนก็ได้ ด้วยจำนวนที่ไม่มาก เช่น 5-10% ของกำไร (บางที่อาจจะใช้จากยอดขาย) หรือจะตั้งงบประมาณรายปีที่รับได้เผื่อเอาไว้ทั้งปีเลยก็ได้ ว่าปีนี้จะใช้งบประมาณการตลาดที่ 1 ล้านบาท แน่นอนว่างบการตลาดก็จะใช้เดือนละ 83,000 บาท ในแต่ละเดือนอาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ก็ขึ้นอยู่กับ Season ของสินค้าหรือบริการได้
สิ่งที่สำคัญคืออย่าลืมบวกค่าการตลาดเข้าไปในราคาสินค้าด้วย เพราะเป็นเรื่องปกติมาก ๆ ที่เราจะต้องทำการตลาด ก็เป็นอีกหนึ่งในต้นทุนของสินค้าและบริการ ดังนั้นราคาตรงนี้ควรจะรวมค่าการตลาดเข้าไปด้วย ทำให้เรามีงบการตลาดใช้งานต่อเนื่องสม่ำเสมอ และสร้างยอดขายให้กับเราได้ด้วย
ใครที่มีคำถามเกี่ยวกับ Digital Marketing หรือเกี่ยวกับเรื่องอื่น ๆ สามารถ Inbox สอบถามได้ที่ Facebook ของ Digital Break Time คำถามเด็ด ๆ ที่คิดว่ามีประโยชน์จะนำมาเขียนบอกเล่าให้กับคนอื่น ๆ ได้รู้ด้วย
ติดตามข่าวสาร บทความดี ๆ จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, Twitter, Line Official Account, Instagram
ธนาคาร เลิศสุดวิชัย x Digital Break Time