หาลูกค้า Digital Marketing สำหรับฟรีแลนซ์ที่อยากจะเปลี่ยนตัวเองไปทำธุรกิจคนเดียว หรือเป็นเอเจนซี แน่นอนว่าจำนวนลูกค้าคือหนึ่งในตัวแปรที่จะทำให้เราก้าวข้ามเป็นบริษัทได้ นั่นคือการมีลูกค้าประจำที่ใช้บริการของเราอย่างต่อเนื่อง จนเรามีศักยภาพที่จะเปลี่ยนจากฟรีแลนซ์เริ่มเป็นบริษัทได้
ดังนั้นการหาลูกค้าใหม่นั้น ย่อมมีความสำคัญมาก เพราะจะทำให้รายได้ของเรามากขึ้น เราสามารถนำเงินหรือผลกำไรเพื่อนำไปลงทุนในกิจการต่อ แต่ทว่าการหาลูกค้าใหม่นั้นเป็นเรื่องที่เวลาพูดนั้นดูง่าย แต่เอาเข้าจริง ๆ คือต้องใช้ทรัพยากรด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเวลา เงิน หรือการลงแรง ซึ่งต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่นั้นสูงมาก ทาง Digital Break Time เลยจะมาแชร์วิธีการหาลูกค้า ที่ปัจจุบันนี้ทางผู้เขียนก็ยังใช้อยู่ และเป็นวิธีง่าย ๆ แต่ก็เห็นผลจริง
หาลูกค้า Digital Marketing เพื่อเปลี่ยนจากฟรีแลนซ์ ไปยังการทำธุรกิจคนเดียวและเอเจนซี
- 1. ทำคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับ Digital Marketing ลงในช่องทางต่าง ๆ ตามถนัด
- 2. หาลูกค้า Digital Marketing จากกลุ่มบน Social Media ต่าง ๆ
- 3. หากมีเงินทุน การใช้โฆษณา ยิง Ads ไปเลย มาวัด Lead เพื่อให้ได้ลูกค้าใหม่
- 4. ทำโฆษณาแบบ Offline ก็ยังเวิร์ค ป้ายแบบง่าย ๆ ก็ช่วยได้
- 5. ลูกค้าแนะนำต่อให้กับคนรู้จัก หรือคอนเน็คชันของลูกค้า รวมถึงทำงานโปรเจ็ค อื่น ๆ ในธุรกิจอื่นของลูกค้า
- 6. เป็นพาร์ทเนอร์กับเอเจนซีอื่น ๆ เพราะแต่ละเอเจนซีนั้นมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนกัน
- สรุป เทคนิคการ หาลูกค้า Digital Marketing เพื่อเปลี่ยนจากฟรีแลนซ์ ไปยังการทำธุรกิจคนเดียวและเอเจนซี
1. ทำคอนเทนต์ที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับ Digital Marketing ลงในช่องทางต่าง ๆ ตามถนัด
วิธีนี้เรียกได้ว่าเป็นวิธีที่ทาง Digital Break Time ที่ใช้มาตั้งแต่ต้น และยังยึดมั่นในวิธีนี้เสมอมา ผู้เขียนเองเน้นการเขียนแบบบทความเป็นหลัก ดังนั้นในช่วงแรกเลยสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาโดยเฉพาะ และลงบทความเขียนโดยเน้น SEO เพื่อให้เว็บไซต์และบล็อกของเราติดเป็นลำดับแรก ๆ ซึ่งในปัจจุบันนี้เรียกได้ว่าอยู่ตัว มีคนเข้ามาอ่านบทความในเว็บไซต์ของเราเรื่อย ๆ เป็นตัวเลขที่สม่ำเสมอ จากนั้น ก็จะมีคนเริ่มติดต่อเรามาเพราะว่าได้อ่านบทความของเราที่ลงไป และเชื่อว่าวิธีการที่เราทำนั้นมากจากประสบการณ์ และอยากให้นำไปใช้กับทางลูกค้า
ซึ่งจนกระทางผู้เขียนเองก็ได้เริ่มขยายฐานมากขึ้น โดยเริ่มทำ Podcasts ในช่วงปี 2023 ที่ผ่านมา โดยลงในทุกแพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็น Spotify, Apple Podcast, Podbean และ YouTube ด้วย ซ฿งผลตอบรับค่อนข้างดีกว่าที่คิดมาก เพราะตอนแรกคิดว่าคนฟังจะไม่เยอะ แต่พอได้ดูสถิติหลังบ้านของแต่ละแพลตฟอร์ม ทำให้เรารู้เลยว่าทำต่อแน่นอน
แต่บอกไว้ก่อนว่าขอแค่การทำคอนเทนต์ที่มีประโยชน์นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นบล็อก ซึ่งในปัจจุบันนี้หลายคนก็นิยมวิดีโอสั้น ๆ ก็สามารถลงบน TikTok, Reels ทั้ง Facebook และ Instagram รวมไปถึง YouTube Shorts ก็ได้ หรือถ้าใครสะดวกทำวิดีโอยาว ๆ ก็ลงบน YouTube ปกติก็ยังได้ พูดง่าย ๆ คือการทำคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ลงในช่องทาง Social Media ที่ตัวเองถนัด เพราะใครถนัดสิ่งไหนก็จะใช้เวลาน้อย สามารถทำคอนเทนต์ออกมาได้อย่างรวดเร็ว แต่ถ้าคุณมีเงินทุนมาก จะทำคอนเทนต์ให้ครอบคลุมก็ไม่ผิดแต่ประการใด ใช้เงินให้เกิดประโยชน์ แต่ที่ผู้เขียนไม่ได้ทำวิดีโอสั้นนั้นเป็นเพราะตัวเองไม่ถนัด แค่นั้นเอง และด้วยที่เรามีทรัพยากรจำกัด เลยมุ่นเน้นไปทางบล็อกและ Podcasts มากกว่านั่นเอง
ทั้งหมดนี้เกิดจากคอนเทนต์ที่ให้ความรู้ทั้งนั้น เพียงแค่ว่าแตกต่างที่แพลตฟอร์มนั่นเอง ทำให้คนที่เสพคอนเทนต์ของเรา เปลี่ยนมาเป็นลูกค้า ซึ่งบอกเลยว่ากว่าครึ่งของลูกค้าเราในปัจจุบัน มาจากการที่เราทำคอนเทนต์ให้ความรู้นั่นเอง
2. หาลูกค้า Digital Marketing จากกลุ่มบน Social Media ต่าง ๆ
กลุ่มบน Social Media ต่าง ๆ มีมากมาย ซึ่งกลุ่มที่ผู้เขียนจะเข้าไปสิงอยู่มักจะเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ Digital Marketing ซึ่งต้องบอกก่อนเลยว่าเราไม่ได้ไปหาลูกค้านะ จุดประสงค์ที่เข้าไปเรามักจะมองหาความรู้มากกว่า เพราะหลายกลุ่มก็ดีมาก ๆมีความรู้มาแชร์กันเสมอ หรือไม่ก็มีผู้ประสบภัยจากการทำ Digital Marketing เกิดปัญหาต่าง ๆ แล้วมาตั้งคำถามขอความช่วยเหลือ ก็จะมีคนมาตอบเพื่อช่วยแก้ไขปัญหา
ซึ่งผู้เขียนเองมักจะเป็นคนที่ตอบคำถามในสิ่งที่เรารู้ ซึ่งจำได้เลยว่ามีคนถามคำถามเกี่ยวกับ Google Maps ที่มีโลโก้และมีสัญลักษณ์เป็นรูปสี่เหลี่ยม แทนที่จะเป็นปักหมุด จะทำอย่างไรได้บ้าง เราก็เลยตอบไปนะว่าต้องทำโฆษณานั่นนี่ อัพโหลดอะไรบ้าง ตอบแบบให้รายละเอียดเยอะอยู่ ซึ่งภายในวันนั้นก็มีคนแชทมาผ่าน Messenger เพื่อติดต่อว่าเราสามารถทำ Google Ads ให้ได้ไหม เราก็เลยสอบถามในเบื้องต้นก่อนว่ารู้จักเราจากที่ไหน (ส่วนมากเราจะถาม เนื่องจากเราจะประเมินจริง ๆ ว่าลูกค้ามาจากทางใด) ซึ่งลูกค้าก็ตอบมาว่าเห็นเราตอบคำถามในกลุ่ม เลยคลิกมาดูที่โปรไฟล์ของเราใน Facebook และได้ติดต่อเรามานั่นเอง
เพราะฉะนั้นเราก็สามารถเห็นโอกาสทางนี้ได้ว่า ลูกค้าก็มาจากทางกลุ่มของ Social Media เองได้เหมือนกันนะ แต่ทว่าลักษณะการที่เราเข้ากลุ่มไป เพื่อไปหาลูกค้าโดยตรง อย่างเช่นการลงโพสต์ของเพจโฆษณาโต้ง ๆ หรือการป่าวประกาศว่าเป็นการรับทำคงไม่เหมาะสมกับในกลุ่มเท่าไรนัก ก็ขึ้นอยู่กับกฎของแต่ละกลุ่มด้วยเหมือนกัน แต่ส่วนตัวจะชอบไปตอบคำถามเอาเสียมากกว่า หรือถ้าใครต้องการสร้าง Community เอง สร้างกลุ่มเอาเลยน่าจะดีกว่า แต่การดูแลกลุ่มก็ใช้เวลาและเหนื่อยเอาเรื่องอยู่นะ
3. หากมีเงินทุน การใช้โฆษณา ยิง Ads ไปเลย มาวัด Lead เพื่อให้ได้ลูกค้าใหม่
ใครที่มีเงินทุนสักหน่อย หรือมีกำไรจากการทำ Digital Marketing อยู่แล้ว ก็สามารถแบ่งเงินส่วนนี้มาเพื่อทำโฆษณา Digital Marketing บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Meta Ads, Google Ads, LINE Ads, TikTok Ads หรือแพลตฟอร์มอื่นตามที่เราถนัดหรือได้ลูกค้าจากช่องทางนั้น ๆ ซึ่งแน่นอนว่าในเมื่อเราเป็นคนทำ Digital Marketing เองก็ย่อมทำเองและวัดผลเองได้อยู่แล้ว
แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเราก็จะต้องฟาดฟันกับเอเจนซีอื่น ๆ ที่ทำโฆษณาเช่นกัน ซึ่งตรงนี้แนะนำว่าให้ตั้งงบประมาณที่เราไม่เดือดร้อนจนกระทั่งต้องใช้เงินถมลงไปทั้งหมด แค่แบ่งเงินหรือกำไรบางส่วนมาทำโฆษณา และเน้นวัดผลเป็นหลัก ให้เลือกจากที่ CPA ไม่สูง ลองปรับแคมเปญหรือเลือกแพลตฟอร์มกันไป เน้น Optimize เป็นหลัก เพื่อที่จะให้ได้ลูกค้าจำนวนที่มากขึ้น และทำให้เรารู้สึกว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปนั่นเอง
แต่แอบบอกไว้อย่างหนึ่งว่าทาง Digital Break Time นั้นไม่ได้ยิงโฆษณาเลยตั้งแต่ทำเว็บไซต์มา เนื่องจากต้องการประหยัดต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่นั่นเอง และเราเองไม่ได้ต้องการลูกค้าจำนวนเยอะ ๆ เพราะเนื่องจากเวลาเรามีจำกัด เรามีฐานลูกค้าเก่าอยู่แล้ว ไม่ได้เน้นสเกลให้กลายเป็นเอเจนซีที่ใหญ่กว่าเดิม เลยเน้นที่จะไปทำตามวิธีอื่น ๆ มากกว่า
4. ทำโฆษณาแบบ Offline ก็ยังเวิร์ค ป้ายแบบง่าย ๆ ก็ช่วยได้
ใครว่าทำ Digital Marketing จะทำโฆษณาแบบออฟไลน์ไม่เวิร์ค บอกเลยว่าโฆษณาโดยใช้ป้ายนี่แหละยังคงใช้งานได้ดีอยู่ เหมาะมาก ๆ กับคนที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจใหม่ ๆ และต้องการหาลูกค้าแบบ Local ที่ทำธุรกิจในบริเวณนั้น ๆ อย่างน้อยจะช่วยให้คนในบริเวณนั้นรู้จักเรามากขึ้น ส่วนเรื่องสถานที่ของการติดป้ายนั้นก็ขึ้นอยู่กับกำลังเงินที่เราสะดวก อาจจะไม่ต้องเช่าป้ายแพง ๆ ก็ได้ แต่ว่าใครที่ทำป้ายเยอะ ๆ ติดป้ายไว้หลายที่ ก็อย่าลืมคิดเรื่องภาษีป้ายเผื่อไว้ด้วยล่ะ
5. ลูกค้าแนะนำต่อให้กับคนรู้จัก หรือคอนเน็คชันของลูกค้า รวมถึงทำงานโปรเจ็ค อื่น ๆ ในธุรกิจอื่นของลูกค้า
ก่อนหน้านี้ผู้เขียนเคยเล่าถึงการทำ Digital Marketing อย่างเป็นมืออาชีพว่าเราควรจะทำอย่างไรบ้าง แน่นอนว่าผลลัพธ์ของการทำงานอย่างเป็นมืออาชีพ คุ้นชิน ผลลัพธ์ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า มีหรือที่ลูกค้าจะไม่แนะนำเราให้กับคนรู้จักของลูกค้า ซึ่งต้องบอกเลยว่าถ้าเราได้ทำงานกับลูกค้าที่เป็นเจ้าของกิจการโดยตรง หรือคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจใหญ่ ๆ อย่างระดับ Manager ขึ้นไป ก็มีโอกาสสูงมากที่เขาจะแนะนำเราไปยังคนรู้จักของลูกค้า เช่นคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจอื่น ๆ หรือคนที่ทำงานในแวดวง Marketing ที่บริษัทอื่นเหมือนกัน ถึงแม้ว่าถ้าคนที่มีอำนาจตัดสินใจย้ายบริษัท แน่นอนว่าเราก็อาจจะได้รับโอกาสในการรับโปรเจ็คใหม่ ๆ ในบริษัทอื่นตามที่ลูกค้าย้ายไปก็มีโอกาสไม่น้อย (ส่วนตัวก็มีลูกค้าที่ลาออกจากที่เดิม ได้แนะนำเราให้เข้าไปทำงานด้วย ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีมาก ๆ)
หรือเจ้าของธุรกิจบางรายไม่ได้มีเพียงแค่ธุรกิจเดียว แต่มีหลายธุรกิจในเครือ ถ้าเราทำผลงานได้ดี แน่นอนว่าอาจถูกให้ไปทำอีกธุรกิจหนึ่ง ซึ่งเราก็จะได้รายได้เพิ่มขึ้นอีก เพราะส่วนมากคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก ก็มักจะอยากจ้างคนที่รู้จักกันก่อน ถ้าทำได้ ผลลัพธ์ออกมาดี เรียกได้ว่าจ้างกันต่อยาว ๆ
6. เป็นพาร์ทเนอร์กับเอเจนซีอื่น ๆ เพราะแต่ละเอเจนซีนั้นมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนกัน
หลาย ๆ คนอาจคิดว่าเอเจนซีที่ไหน ๆ ก็คล้ายกัน แต่ในความเป็นจิรงแล้วเอเจนซีนั้นมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนกัน และสามารถแยกย่อยไปได้หลากหลายตามความถนัดของตัวเอง บางที่เป็น Production Agency คือเน้นเรื่องของการเน้นทำวิดีโอ หรือภาพสวย ๆ ให้ตอบโจทย์การทำโฆษณา บางที่เป็น Creative Agency เน้นความคิดไอเดียวสร้างสรรค์เป็นหลัก หรือจะเป็น PR Agency ที่เน้นของเรื่องการประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ
แน่นอนว่าหลาย ๆ ที่มีจุดเด่นที่ไม่เหมือนกัน การครอบคลุมเรื่องของการบริการก็แตกต่างกันออกไป ซึ่งเมื่อเราทำทางด้าน Digital Marketing (ถ้าเป็นฝั่งเอเจนซีก็มักจะเรียกว่า Digital Agency) สามารถเข้าไปเสริมทัพกับเอเจนซีที่กล่าวมาได้ เพราะหลายลูกค้าก็มักจะต้องการบริการแบบ One Stop Service ที่เดียวจบ ทำวิดีโอแล้ว ทำ กราฟิกสวย ๆ ก็แล้ว ไหน ๆ ก็ช่วยทำ Digital Marketing ไปเลยแล้วกัน ซึ่งหลายเอเจนซีก็ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญตรงนี้ เราก็สามารถไปเติมเต็มพวกเขาได้ โดยการเป็นพาร์ทเนอร์ของเอเจนซีที่มีความแตกต่างกัน ทั้งหมดก็ได้ผลลัพธ์ที่ดี ไม่ว่าจะเป็นทางฝั่งเอเจนซี ก็ได้ตอบสนองทางด้านบริการลูกค้า ได้รับค่าบริการเพิ่มขึ้น ทางเราก็จะได้ค่าจ้างจากเอเจนซีที่เราไปช่วยเหลือ และทางลูกค้าก็ได้ใช้บริการแบบครบวงจรตามที่ต้องการ
สรุป เทคนิคการ หาลูกค้า Digital Marketing เพื่อเปลี่ยนจากฟรีแลนซ์ ไปยังการทำธุรกิจคนเดียวและเอเจนซี
ทั้งหมดนี้เรียกได้ว่าเป็นเทคนิค หาลูกค้า Digital Marketing ที่ทาง Digital Break Time ได้ทำจริง ลูกค้าส่วนมากก็จะมาจากช่องทางต่าง ๆ เหล่านี้ จริง ๆ แล้ววิธีการหาลูกค้าก็สำคัญ แต่ที่ยากไปกว่านั้นคือการที่จะให้ลูกค้าทำ Digital Marketing กับเราไปนาน ๆ หวังว่าคอนเทนต์นี้จะเป็นประโยชน์กับคนที่เพิ่งเริ่มทำ Digital Marketing เป็นอาชีพเสริม เป็นฟรีแลนซ์ เป็นคนที่เพิ่งจะเริ่มทำธุรกิจ และเหล่ามนุษย์เงินเดือนที่จะเริ่มมาทำสายงานนี้ หรือกำลังคิดจะลาออกในเร็ว ๆ นี้ก็ตาม สามารถนำไปปรับใช้งานได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจของเราเองครับ
ติดตามเรื่องราว Digital Marketing จาก Digital Break Time ได้ที่
Facebook, X, Line Official Account, Instagram, Spotify, YouTube, Apple Podcast
ธนาคาร เลิศสุดวิชัย x Digital Break Time